วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

ผักแช่มีคุณกว่าผักสด ยังคงมีสารอาหารอยู่เป็นปริมาณมากกว่า

     ศูนย์วัตกรรมการอาหาร มหาวิทยาลัยเชพพิลด์ ฮอลแลมของอังกฤษ ศึกษารู้มาว่าอาหารที่แช่แข็ง กลับมีสารอาหารมากกว่าของสดที่จับจ่ายซื้อมาจากซุปเปอร์มาร์เกตเสียอีก

   

พืชผักผลอาหารสุขภาพไม้ที่เก็บอยู่ในตู้แช่ อย่างถั่ว ส่วนใหญ่จะถูกเก็บแช่หลังจากเก็บมาสดๆ ทันที ดังนั้นจึงยังคงรักษาระดับของวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ อยู่ได้ผิดกับผักผลไม้สด เมื่อเก็บมาจากไร่แล้วยังต้องเก็บไว้ในห้องเก็บของ ทำให้สูญเสียองค์ประกอบที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายลง บางครั้งผักและผลไม้ที่วางขายอ้างว่าสดใหม่ อาจูกเก็บอยู่ในโกดังมานานตั้งหลายเดือน ระหว่างเวลาที่ผ่านมือจากผู้ผลิตผู้ขายส่งและขายปลีก กว่าจะมาถึงผู้บริโภคเป็นช่วงๆ

     นักวิจัยของศูนย์กล่าวว่า ถึงเวลาแล้วควรจะเลิกเชื่อถือมาผิดๆ ที่ว่าอาหารแช่แข็งมีสารอาหารน้อยสู้ผักเขียวๆ ไม่ได้เสียที อย่างเช่น พวกเขาพบตัวอย่างว่าถั่วเขียวๆ ต้องสูญเสียวิตามินซีไปมากถึงร้อยละ 77 เมื่อโดนถูกเก็บเอาไว้ในโกดังนานตั้ง 7 วัน ทั้งยังพบหลักฐานด้วยว่าถั่วสีเขียวแช่แข็งที่นำไปปรุงอาหาร ยังคงมีสารเบตา แคโรทีน ซึ่งจะแปลงเป็นวิตามินเอขึ้นในร่างกายสูงมากว่าถั่วสดเสียอีก

 

 

ที่มา : ไทยรัฐ

ประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาช่วยหลบมะเร็งเต้านม

นมแม่

     แพทย์ผู้มีชื่อเสียงของสหรัฐฯ แนะนำสตรีผู้มีแม่หรือพี่สาวน้องสาวเคยเป็นมะเร็งเต้านมว่า ควรจะเลี้ยงลูกด้วยนมตนเองอย่างยิ่ง เพื่อช่วยป้องกันตนเองไม่ให้เป็นโรคเดียวกันบ้าง ตอนช่วงก่อนถึงวัยหมดประจำเดือน

     ดร.อลิสัน เอ็ม สตึบ มหาวิทยาลัยนอร์ท แคโรไลนา แห่งอเมริกา ได้พบจากการศึกษาจากสตรีอเมริกันไม่น้อยกว่า 60,000 คนว่า ผู้หญิงที่มีญาติพี่น้องใกล้ชิดเคยเป็นโรคนี้มาถ้าหากเลี้ยงลูกด้วยนมตนเอง จะรอดตัวจากโรคเดียวกัน ในช่วงก่อนถึงวัยหมดประจำเดือนเมื่อเทียบกับหญิงคนอื่นผู้ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมตนเอง

     คณะนักวิจัยได้สรุปว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมตนเอง จะเป็นคุณประโยชน์แก่ทั้งแม่และลูกด้วยกัน อย่างไรก็ดี สตรีที่ไม่มีญาติใกล้ชิดมีประวัติของการเป็นโรคนี้ ก็ไม่ปรากฎว่ามีความเกี่ยวพันทำนองเดียวกันนี้ด้วย

 

ที่มา : ไทยรัฐ

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

แนะวิธีแก้แพ้ คีโม

ทางเลือกรักษามะเร็งร้ายด้วยการใช้ยาเคมี หรือเคมีบำบัด เป็นอีกหนึ่งทางกำจัดก้อนส่วนเกิน นอกจากการผ่าตัด และฉายรังสี

‘สามัญประจำบ้าน’ แนะเคล็ดลับการดูแลตนเองหรือผู้ที่เพิ่งได้รับการรักษาด้วยวิธีเคมีบำบัด แล้วเกิดผลข้างเคียง ที่มักจะปรากฏอาการเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือจนกว่าจะหมดฤทธิ์ของยา โดยอาการจะมากหรือน้อยก็ยังขึ้นอยู่กับชนิดของยา รวมทั้งสภาพร่างกายของผู้ได้รับการบำบัด
ผลข้างเคียงที่พบมีทั้งอาการคลื่นไส้อาเจียน ซึ่งแพทย์จะจัดยาแก้อาเจียนไว้ให้รับประทาน ส่วนอาหารการกิน ให้เลี่ยงอาหารทอด รสชาติหวาน น้ำมันมาก กลิ่นฉุน ควรรับประทานอาหารปริมาณพอเหมาะ เคี้ยวจนละเอียด หากรู้สึกปวดแสบระหว่างปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อย หรือมีเลือดปน พร้อมมีอาการไข้ ควรดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน หรือเลือกดื่มน้ำผลไม้ น้ำชาชงอ่อน ๆ หรือน้ำซุปร่วมด้วยก็ได้
แต่ถ้ามีอาการท้องเสีย ควรงดดื่มนมและไม่รับประทานอาหารจำพวกเส้นใยสูง อาทิ ผัก ผลไม้ ตรงกันข้ามหากท้องผูก ให้พยายามรับประทานอาหารกากใยสูง ส่วนผู้ที่ริมฝีปากมีอาการอักเสบ เยื่อบุช่องปากแห้ง สีซีด มีเลือดออก ภายในช่องปากมีแผล ให้บ้วนปากด้วยน้ำอุ่นผสมเกลือ ร่วมกับการรับประทานอาหารรสจืด ใช้ครีมทาริมฝีปากไม่ให้แห้งแตก
บ้างอาจเกิดอาการผมร่วง ให้สระผมด้วยแชมพูสูตรอ่อนโยนโดยใช้น้ำเย็น เลี่ยงการใช้ไดร์เป่าผม หวีหรือแปรงผมเบา ๆ คลุมผมทุกครั้งเมื่ออยู่ในที่แจ้ง แต่หากอาการทั้งหมดที่กล่าวไปนี้เกิดขึ้นและยังคงอยู่ต่อเนื่องหรือรุนแรงขึ้น ควรปรึกษาแพทย์โดยด่วน.

ที่มา : เดลินิวส์

แม่ใช้เคี้ยวอาหารป้อนใส่ปากทารก เอาเชื้อเอดส์ไปติดลูก

ป้อน

 

     วารสารทางวิชาการ "กุมารเวชศาสตร์" ของสหรัฐฯ รายงานว่า นักวิจัยได้ค้นพบว่า ทารกติดเชื้อโรคเอดส์ เนื่องจากมารดาหรือพี่เลี้ยงที่เป็นโรค เคี้ยวอาหารแล้วจึงป้อนให้ทารกมา 3 รายแล้ว

     ดร.อาทิตยา กัวร์ หัวหน้านักวิจัยโรงพยาบาลวิจัยโรคเด็กเซนต์ จัด เชื่อมั่นว่า เป็นเพราะมารดาหรือพี่เลี้ยงมีเชื้ออยู่ในน้ำลายของตนแล้วมาเคี้ยวอาหารก่อนป้อนให้ทารก

     รายงานส่อว่าผลการค้นพบครั้งนี้ ควรจะเป็นเครื่องเตือนให้หมอและสถานพยาบาลได้เตือนมารดาหรือพี่เลี้ยงที่เป็นโรค งดเว้นการกระทำดังกล่าว และหาวิธีป้อนทารกที่ปลอดภัยแทน

     ดร.อาทิตยา กล่าวว่า ก่อนนั้นเคยรู้แต่ว่าการเคี้ยวอาหารป้อนทารกอาจจะทำให้ทารกติดเชื้อที่ก่อให้เกิดการอักเสบ อย่างเช่น เชื้อสเตรดโคลัสและเชื้อไวรัสตับอักเสบ ชนิดบีได้ แต่ยังไม่เคยปรากฎหลักฐานแสดงว่าเชื้อเอดส์ในเลือดอาจจะติดต่อกันได้แบบนี้มาก่อนโดยเลือดในน้ำลายนั้น อาจจะเป็นเลือดที่ออกจากไรฟัน หรือจากส่วนอื่นในปาก

 

ที่มา : ไทยรัฐ

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

ได้เวลาเปลี่ยนชั้นใน

ชั้นใน

ปัจจุบันคุณสาวๆ จะเฉิดฉายด้วยชุดสวยภายนอกเพียงอย่างเดียว คงไม่เพียงพอซะแล้ว เพราะหากพลาดหรือละเลยสิ่งใกล้ตัวที่นับเป็นปราการด่านแรกในการเลือกสวมใส่บนเรือนร่างอย่าง "ชุดชั้นใน" พื้นฐานสำคัญที่ช่วยเสริมให้สรีระทรวดทรงมีโครงร่างที่สวยงาม ได้สัดส่วนตามธรรมชาติ ซึ่งหากถูกละเลยก็จะเป็นโทษมหันต์ที่สามารถทำลายบุคลิกภาพของคุณได้เช่นกัน

โดยผู้เชี่ยวชาญด้านสรีระทรวงอกของผู้หญิงโดยเฉพาะ ณ แผนกชุดชั้นในสตรี ห้างโรบินสัน แนะนำว่า อย่าคิดว่าชุดชั้นในตัวเก่งของคุณจะมีอายุยืนยาวนะจ๊ะ เพราะโดยทั่วไปชุดชั้นในส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานประมาณ 4 เดือนเท่านั้น โดยให้สังเกตเห็นอาการ ดังต่อไปนี้ โครงยกทรงเริ่มบิดจนไมได้รูป หรือ ตัวโครงเหล็กทะลุออกมาเซย์ฮัลโหลทักทาย กับโลกภายนอก บ้างหรือเปล่า? คัพยกทรงเสียรูปบวมบิด ไม่เป็นทรง แถมยังเคลื่อนไปมาขณะสวมใส่ทำให้ไม่สบายตัว หรือไม่? สายบราออกอาการหย่อน ยืด ย้วย โดยเฉพาะถ้าปรับสายแล้วแต่ยังหย่อนอยู่ละก็ แสดงว่าอิลาสติกเสื่อมสภาพกลับบ้านเก่าไปเรียบร้อย

หากคุณสาวๆ พบว่า ชุดชั้นในตัวเก่งของคุณ เริ่มมีอาการเข้าขั้นในข้อใดข้อหนึ่ง หรือ เป็นเกือบทุกข้อแล้วละก็ เตรียมโบกมืออำลาบราเก่าไปได้เลย รีบลุกขึ้นมาเปลี่ยนกันได้แล้วนะจ๊ะ เพราะชุดชั้นในตัวดีของคุณ อาจเป็นสาเหตุทำให้เจ็บป่วย ขืนยังฝืนใส่อยู่ละก็ จะส่งผลไม่ดีต่อสุขภาพ เพราะทำให้ทรวงอกคุณผิดรูปร่าง นำมาซึ่งความไม่สบายกายไม่สบายใจ แถมยังไม่ดีต่อสรีระที่สวยเพอร์เฟกท์ในการใส่เสื้อผ้าอีกด้วย

ที่มา : คม ชัด ลึก

เคล็ดความงาม...ใต้วงแขน

รักแร้

ตามปกติแล้วผิวใต้วงแขนจะมีสีคล้ำกว่าผิวส่วนอื่นๆ เล็กน้อยเพราะเป็นส่วนที่ผิวย่นมารวมกันเหมือนคอ หรือบริเวณขาหนีบ แต่หากผิวส่วนนี้ดำคล้ำกว่าสีผิวส่วนอื่นอาจเป็นไปได้ว่าเกิดความผิดปกติขึ้น ควรพิจารณาหาสาเหตุและรักษาอย่างเร่งด่วน

ปัญหารักแร้ดำเกิดได้จากหลายสาเหตุ ที่สำคัญคือ การสัมผัสสารเคมีอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดการระคายเคืองและรอยดำ จากน้ำหอม สารกันเสีย หรือยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เช่น Triclosan, Triclocarban, Irgosan ในยาระงับกลิ่นกาย

การรักษาจึงต้องแก้ไขตามอาการ หากเป็นการแพ้น้ำหอม ควรเปลี่ยนไปใช้โรลออนชนิดที่ไม่มีสารสร้างกลิ่นหอมที่ระบุว่า "Fragrance - Free" โดยสังเกตส่วนประกอบสำคัญบนฉลาก หากมีชื่อสารที่แพ้ควรหลีกเลี่ยงไปใช้ยาระงับกลิ่นแบบอื่นแทน

ความอ้วนและการเสียดสีก็เป็นอีกสาเหตุของรักแร้ดำได้ การแก้ไขจึงควรลดน้ำหนักและใช้ยาลดรอยดำ หรือไวท์เทนนิ่งทาควบคู่กัน แต่ไม่ควรใช้กลุ่มที่มีกรดผลไม้ ไม่ว่า AHA หรือ BHA เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองยิ่งขึ้น แต่ถ้ารักแร้ดำและนูนเหมือนกำมะหยี่ (มักพบในคนเป็นโรคเบาหวาน) ควรพบแพทย์ทันทีค่ะ

ทั้งนี้หลายต่อหลายคนมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันไป อาทิ มะขามเปียก ไร้ฝักด้วยนะ ถูเบาๆ ทิ้งไว้แล้วคอยอาบน้ำ เพียงไม่กี่ครั้งขาวขึ้นจริงๆ ทุกวันนี้ยังใช้อยู่เลย ส่วนเวลาจะทิ้งไว้นานแค่ไหน ลองทดสอบน้อยๆ ก่อนดีกว่า

ใช้มะขามเปียก ผสมกับ นมสด พอกไว้ที่รักแร้ประมาณ 5 -10 นาที ทำอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ขาวชัวส์ ไปหาหมอเลเซอร์รักษา เสียเงินไปหลายหมื่น ก้อกลับมาดำเหมือนเดิม แต่ตอนนี้มีวิธีที่ง่าย ปลอดภัย และก้อไม่ต้องเสียตังแพงด้วยค่ะ

1. หลีกเลี่ยงการถอนหรือ แว๊กขน เพราะว่าทำห้รักแร้เราเกิดการอักเสบและดำได้

2. เวลาอาบน้ำ ใช้มะขามเปียก + น้ำผึ้ง ทาทิ้งไว้ 5 - 10 นาที แล้วอาบน้ำตามปกติ

3. เวลาออกจากบ้านถ้ามีกลิ่นตัวให้ใช้โรลออนที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ สามารถหาซื้อได้ที่คลินิคความงาม หรือซื้อของพวกนีเวียแบบสเปรมาใช้ก้อได้ค่ะ ลองอ่านดูให้ดีค่ะ ยี่ห้ออะไรก้อได้ ที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และสารส้ม

4. ก่อนนอน ให้ใช้ครีมทาผิวที่เป็นพวก Whitening ทาที่รักแร้ จากนั้นเอาแป้งฝุ่นทาทับ

อย่างไรก็ตามการรักษาปัญหารักแร้ดำ ควรให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเป็นผู้วิเคราะห์สาเหตุเพื่อให้ได้ผลตรงกับอาการและรักษาได้ถูกวิธีที่สุด

ที่มา: หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

มาสร้างแรงจูงใจในการออกกำลังกายกันเถอะ!

ออกกำลังกายบ

ทุกคนทราบกันดีว่าการออกกำลังกายมีประโยชน์ ต่อร่างกายและจิตใจ ทำให้สุขภาพแข็งแรงไม่เจ็บป่วย ไม่เครียด อารมณ์แจ่มใส่ เบิกบาน ซึ่งถ้าขาดการออกกำลังกายก็ทราบเช่นกันว่ามีโทษต่อร่างกายอย่างมาก แต่ในความเป็นจริงแม้จะรู้ก็ยังมีคนไทยเราออกกำลังกายกันน้อยมาก

เพราะอะไร? ทำไมประชาชนชาวไทย จีงออกกำลังกายกันน้อยมาก? คำพูดที่ได้ยินได้ฟัง กันเป็นประจำคือ "ไม่มีเวลาออกกำลังกาย" เช้าต้องรีบตื่นเดินทางจากบ้านมาที่ทำงาน เลิกงาน ก็ต้องรีบกลับ กลัวรถติด แต่ในความเป็นจริงปรากฏว่าเราก็ไปเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์อยู่บนรถเพราะการจราจรติดขัด จะขยับไปไหนก็ไม่ได้ เมื่อไม่มีอะไรทำขณะอยู่บนรถ เราก็มักจะหยิบขนมขบเคี้ยวขึ้นมากินไปพลางๆ พฤติกรรมตัวอย่างข้างต้นส่งผลให้ปัจจุบันคนไทยมีปัญหาสุขภาพกันมาก ทั้งโรคที่เกิดกับร่างกาย เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง และโรคที่เกิดกับจิตใจ เช่น โรคเครียด วิตกกังวล การไม่ออกกำลังกายส่งผลเสียกับร่างกายมากขนาดนี้ แล้วทำไมเราจะยังดื้อไม่ออกกำลังกายกันอีกล่ะคะ

เราจะแก้ไขปัญหาไม่มีเวลาออกกำลังกายได้อย่างไร? จริงๆ ไม่ยากเลยค่ะ จะขอยกตัวอย่างวิธีสร้างแรงจูงใจง่ายๆ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่จะช่วยกระตุ้นให้เรานิยมออกกำลังกายกันมากขึ้น

วิธีที่หนึ่ง สร้างแรงจูงใจโดยนึกถึงประโยชน์ของการออกกำลังกาย วิธีนี้ทุกคนคงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าการออกกำลังกายที่ถูกต้องเหมาะสมก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม มีประโยชน์มากมายขนาดนี้ มีแต่ได้กับได้ แล้วทำไมเราจะพลาดโอกาสดีๆ เช่นนี้ล่ะ

วิธีที่สอง นึกไว้ว่าการออกกำลังกายทำให้เรามีรูปร่างทรวดทรงสมส่วน ลดไขมันส่วนเกินของร่างกาย หาเสื้อผ้าสวมใส่ได้ง่าย ไม่ต้องคอยมองหาขนาดใหญ่พิเศษ ช่วยเสริมให้เรามีบุคลิกภาพดีมีเสน่ห์ต่อคนรอบข้าง ดังที่เราจะสังเกตเห็นว่าสาวๆ ที่ออกกำลังกายจะเดินเหินหรือทำกิจกรรมอะไรก็กระฉับกระเฉงคล่องแคล่ว หนุ่มๆ ก็ดูสมาร์ต เข้มแข็งเป็นคนมีบุคลิกดี

วิธีที่สาม นึกไว้ว่างการออกกำลังกายทำให้เรามีโอกาสได้รู้จักเพื่อนใหม่ ได้สังสรรค์กับเพื่อนๆ ตกเย็นหลังเลิกงานเราจะได้ไปเล่นกีฬากับเพื่อนๆ ได้หัวเราะ ได้พูดคุยไปพร้อมๆ กัน การออกกำลังกาย จึงเป็นสื่อในการเข้าสังคมได้อย่างดี

วิธีที่สี่ การออกกำลังกายทำให้เราได้ผ่อนคลายความตึงเครียด จากการทำงานหรือจากการดำเนินชีวิตประจำวันเพราะเมือเราออกกำลังกายร่างกายจะหลั่งสารเอนโดรฟิน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เรากระชุ่มกระชวย กระปี้กระเปร่า ทำให้เรารู้สึกสดชื่น เป็นวิธีคลายเครียดที่ให้ทั้งความสุขทางจิตใจ และประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย

และ วิธีสุดท้าย เปลี่ยนความคิดที่ว่าการออกกำลังกายจะต้องเปลี่ยนชุดกีฬา ต้องไปออกกำลังกายที่กว้างๆ ต้องมีเวลา ต้องมีคนไปร่วมออกกำลังกายเป็นเพื่อนด้วย ยิ่งคิดแบบนี้คนที่บอกไม่มีเวลาก็จะยิ่งหนีไกลไม่ออกกำลังกายและความคิดนี้ก็เชยแล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวนี้เรามีวิธีออกกำลังกายง่ายๆ ทำได้ทุกที่แล้ว ตัวอย่างกิจกรรมการออกกำลังกายง่ายๆ ที่ทำได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ไม่ต้องหาเวลาทำอย่างเฉพาะเจาะจง เช่น เดินขึ้นบันได 3-4 ชั้นแทนการใช้ลิฟต์(ประหยัดไฟช่วยชาติ) เดินไปตลาดใกล้บ้านแทนการเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้าง (ประหยัดได้หลายบาท) ชั่วโมงธุรกิจอยู่เล่นกีฬากับเพื่อนร่วมงานดีกว่าต้องไปนั่งจับเจ่าหงุดหงิดอยู่บนรถที่ติดเป็นตังเม (ช่วยให้ไม่เสียอารมณ์) หรือยกดัมเบลเวลารอรถขยับ เมื่อการจราจรติดขัด (ได้กล้ามเนื้อฟิตแอนด์เฟิร์ม) นอกจากนี้บางกิจกรรมทำแล้วยังช่วยให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุต่างๆ อันอาจจะเกิดขึ้นอีกด้วย เช่น การเดินข้ามสะพานลอยแทนการวิ่งตัดข้ามบนถนนให้หวาดเสียว วิธีการออกกำลังกายง่ายๆ เหล่านี้ จะช่วยให้ได้ขยับเขยื้อนร่างกาย นำมาซึ่งสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามกีฬา

5 เคล็ดลับสู่ผิวอ่อนเยาว์

คงปฎิเสธไม่ได้ว่าการมีผิวพรรณที่อ่อนวัยและสดใสเป็นความใฝ่ฝันของใครหลายๆ คน สาวๆ จำนวนไม่น้อยที่ต้องเสียเงินไปกับการซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงต่างๆ เช่น ครีมลดริ้วรอย มอยซ์เจอร์ไรเซอร์ เซรั่มต่างๆ รวมถึงการเข้าออกคลีนิคผิวพรรณ เพื่อดูแลผิวหน้าผิวกายของเราเต่งตึงแลดูสดใสอ่อนเยาว์ให้ได้นานที่สุด วันนี้จะมีอีก 5 วิธีที่จะนำมาซึ่งผลลัพธ์ของผิวอ่อนวัยมาบอกกันค่ะ

ผิวสวย

1. ทาครีมกันแดด

     แม้จะไม่ได้ออกแดดจัดอย่างการไปชายทะเลแต่อย่าลืมว่ารังสี UV ตัวการร้ายในการทำลายผิวยังมีอยู่ทุกที่ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นแสงจากคอมพิวเตอร์ แสงจากหลอดไฟฟ้า หรือการเดินไปยังลานจอดรถเพื่อไปทานกลางวันคุณก็จะต้องเจอเจ้ารังสีตัวนี้ ดังนั้นการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันรังสี UV จึงจำเป็นอย่างมาก การเลือกซื้อครีมหรือโลชั่นบำรุงผิวต่างๆ ก็ควรจะเลือกซื้อที่มีส่วนผสมที่ป้องกันรังสี UV ตั้งแต่ 15 ขึ้นไปสำหรับผิวหน้าหรือผิวกายของคุณ

2. มอยซ์เจอร์ไรเซอร์

    คนที่มีผิวแห้งค่อนข้างที่จะเสียเปรียบสักหน่อย เพราะผิวแห้งจะทำให้เกิดริ้วรอยและเหี่ยวย่นได้ง่ายกว่าผิวประเภทอื่นแต่ก็ไม่ต้องกังวลไปค่ะเพราะมอยซ์เจอร์ไรเซอร์สามารถช่วยคืนความชุ่มชื้นสู่ผิวได้ ไม่ว่าคุณจะมีผิวประเภทใดก็ควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่เหมาะกับสภาพผิวและทามอยซ์เจอร์ไรเซอร์เป็นประจำในตอนเช้าและก่อนนอน ทั้งผิวหน้าและผิวกายเพื่อรักษาผิวพรรณของคุณให้นุ่มเนียนอ่อนวัยไปทั้งตัว

3. ดื่มน้ำมากๆ

    การดื่มน้ำสะอาดก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว อีกทั้งการดื่มน้ำยังให้ประโยชน์อีกมากมาย เช่น ขับสารพิษออกจากร่างกายซึ่งผลลัพธ์ของมันก็คือ ทำให้ผิวพรรณเรียบเนียนและไม่ค่อยเป็นสิวและยิ่งร่างกายมีน้ำมาก ผิวพรรณก็จะยิ่งชุ่มชื่นตามไปด้วย

    ในหนึ่งวันเราควรจะดื่มน้ำประมาณ 8 แก้ว ในจำนวนที่ว่านี้ไม่จำเป็นจะต้องเป็นแค่น้ำเปล่าอย่างเดียว อาจจะเป็นเครื่องดื่มอื่นๆ ที่มีประโยชน์เช่น นม น้ำผลไม้หรือจะเป็นอาหารที่มีส่วนประกอบที่เป็นน้ำ เช่น ซุป เป็นต้น

4. อาหารการกิน

    เป็นร้อยๆ ครั้งที่เราได้ยินประโยคที่ว่า " you are what you eat " ถ้าเรากินแต่สิ่งที่ดีๆ เข้าไปสุขภาพร่างกายก็จะดีตามไปด้วย ผักและผลไม้เป็นแหล่งรวมของวิตามินซี ซี่งมีประโยชน์ด้านทำให้ผิวพรรณผ่องใส วิตามินอี มีประโยชน์ด้านริ้วรอยและความอ่อนวัย อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินอี ได้แก่ ปลา ถั่ว และผลไม้

5. เอาใจใส่ผิวพรรณ

    เคล็ดลับสุดท้ายในการดูแลสุขภาพผิวให้อ่อนวัยคือการดูแลเอาใจใส่อย่างจริงจัง เช่น เวลาทาครีมควรใช้นิ้วนวดเบาๆ เริ่มจากบริเวณใต้ตาไปยังจมูก ไม่ควรถูผิวหนังบริเวณใต้ตาแรงๆ สวมแว่นกันแดดเมื่อต้องเจอกับแดดแรงและไม่ควรเพ่งมองแสงแดด พักผ่อนให้เพียงพอ

 

แค่ปฎิบัติตาม 5 วิธีที่กล่าวมาเป็นประจำ เท่านี้ก็ไม่ต้องเสียเงินมากๆ ในการใช้เครื่องสำอางค์ราคาแพงหรือเข้าคลีนิคดูแลผิวพรรณกันแล้ว ทำให้เป็นนิสัยผิวพรรณจะดีขึ้นและคงความอ่อนเยาว์ไว้ได้นานเลยค่ะ

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

ขาเป็นปรอทวัดหัวใจ...ขาใหญ่กล้ามเนื้อโตมีกำลังต่อต้านเบาหวาน

     ชายหญิงผูใดที่มีโคนขาใหญ่โตเกิน 2 ฟุต นับว่าเป็นสิ่งประเสริฐ เพราะจะห่างไกลจากโรคหัวใจและการมีอายุสั้นไปได้

ขา     

วารสารการแพทย์อังกฤษ รายงานว่าทีมแพทย์โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโคเปเฮเกน เดนมาร์ก ได้ศึกษาชายหญิงจำนวน 3,000 คน เป็นเวลานาน 10 ปี ได้พบผลดีของการมีโคนขาใหญ่ เพราะการมีโคนขาที่เล็กบาง ก็จะพลอยมีปริมาณกล้ามเนื้อบางเบาจนไม่มีกำลังพอที่จะจัดการกับอินซูลินได้ ย่อมเสี่ยงต่อโรคเบาหวานและพ่วงด้วยโรคหัวใจได้ง่าย

     หัวหน้าทีมศึกษา ศาสตราจารย์เบอริท เฮทมานน์กล่าวว่า มันเป็นวิธีตรวจวัดง่ายๆ และหยาบๆ แต่ดูเหมือนจะมีผลกับบุคคลและอาจจะเป็นหนทางให้หมอคาดประเมินความเสี่ยงได้อย่างหนึ่ง และข้อดีอีกอย่างก็คือ หากใครมีโคนขาเล็กก็อาจจะออกกำลังให้ใหญ่ขึ้นได้

     ทางมูลนิธีโรคหัวใจของอังกฤษ ได้แสดงความเห็นว่า หลักฐานที่ยืนยันการมีต้นขาเล็ก เสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดนับว่ายังไม่พอ ควรจะมีหลักฐานมายืนยันมากกว่านี้

     ยังไงก็ต้องรอดูกันต่อไปถ้ายืนยันว่าเป็นความจริง สาวๆ หุ่นนางแบบคงหนาวๆ ร้อนๆ กันแน่

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

มองเทรนด์สีโลก 2 ปีข้างหน้า

สี

     "เทรนด์สี" มีอิทธิพลในการผลิตสินค้าในหลายวงการ โดยเฉพาะวงการแฟชั่นเพื่อเป็นการรับรู้เทรนด์สีสำหรับสินค้าแฟชั่นและตกแต่งบ้านล่วงหน้า ประดิษฐ์  รัตนวิจิตราศิลป์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยแฟชั่นแห่งประเทศไทย เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมประชุมเทรนด์สีโลกในงาน "Intercolor" ที่ประเทศไทยฝรั่งเศส เปิดเผยว่า เทรนด์สีโลกไม่ใช่การคาดเดา แต่เป็นเรื่องของการวิจัยผู้บริโภค การวิจัยตลาดควบคู่กับการวิจัยเชิงสถิติ โดยประเมินว่า ในอนาคตผู้บริโภคคิดและรู้สึกอย่างไร จากข้อมูลที่เป็นเชิงวิจัยและสถิติและถูกแปลออกเป็นสี ซึ่งการวิจัยเป็นการศึกษาในอนาคต 24 เดือนข้างหน้า เพื่อให้วงการต่างๆ ได้เตรียมการผลิตสินค้าได้ตามความต้องการของลูกค้า

     ผอ. สถาบันวิจัยแฟชั่นแห่งประเทศไทยแห่งประเทศไทยกล่าวต่อว่า ในการประชุม Intercolor ครั้งล่าสุดที่เมืองลีออง ประเทศฝรั่งเศสเมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมานี้ เป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่ถูกเชิญให้เข้าไปประชุมร่วมกับอีก 13 ประเทศ โดยองค์กร Intercolor เป็นองค์กรที่ไม่ค้ากำไร การประชุมจึงเป็นการนำผลการวิจัยของแต่ละประเทศมาร่วมประชุมกัน เพื่อหาค่ากลางเป็นสีเทรนด์สีโลก โดยจะมีการประชุมปีละ 2 ครั้ง ทั้งนี้ เพื่อเป็นข้อมูลให้แก่วงการธุรกิจต่างๆ เช่น แฟชั่น, เฟอร์นิเจอร์, ตกแต่งบ้าน, สีทาบ้าน, กระเบื้อง, รถยนต์, โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น เพื่อรับรู้ว่าคนทั่วโลกคิดอะไร ผลการประชุมนี้ค่อนข้างมีความแม่นยำมากกว่า 90% แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการแปลด้วย โดยข้อมูลที่ได้จะถูกแปลเป็ฯสีตามลักษณะของสินค้าและอาจตามความต้องการผู้บริโภคของประเทศนั้นๆ

     ส่วนแนวโน้มเทรนด์สีในอนาคตนั้น ผอ.ประดิษฐ์ บอกว่า การประชุม Intercolor ครั้งล่าสุดนี้ เป็ฯการประชุมเทรนด์สีของฤดูกาล Autum / Winter 2011 ในส่วนของประเทศไทย ตนได้ร่วมกับทีมดีไซน์จากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงทำการวิจัย ซึ่งผลของการวิจัยที่ประเทศไทยทำไปเสนอนั้นตรงกับเทรนด์สีโลกที่กำลังจะมา ผู้บริโภคทั่วโลกจะมีมุมมอง 2 แบบ คือ มองโลกในแง่ดี กลับสู่ธรรมชาติ พยาบามอนุรักษ์ใช้ของจากธรรมชาติ และอีกมุมมองหนึ่งเป็ฯการไล่ตามความฝัน มองหาสิ่งใหม่ๆ โดยโซนสีอนุรักษ์ เช่น สีเทา, น้ำตาลหรือเบจ ดังนั้น จะเห็นว่าสีเทา, สีเขียวและสีน้ำตาล เป็นสีที่ยังอยู่นาน ส่วนการมองหาสิ่งใหม่ๆ แปลออกมาเป็ฯสีจำพวกมัลติคัลเลอร์ สีสดใสอย่างสีของลูกโป่ง เป็นต้น

     การที่ต้องมีเทรนด์สี เพราะสีมีความสำคัญต่อการซื้อสินค้า โดย ผอ.ประดิษฐ์ บอกว่า สิ่งที่มีอิทธิพลในการดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคอย่างแรกคือสี ตามด้วยวัสดุและรูปร่างว่าถูกใจ มีความทันสมัยหรือน่าสนใจหรือไม่ สำหรับสีที่มีอิทธิพลต่อคนไทยคือ สีเหลือง, สีแดงและสีเขียว โดยสีเหลืองหมายถึงราชวงศ์, สีแดงหมายถึงความมั่นคง และสีเขียวคือการใช้ชีวิตปกติสุขในธรรมชาติ

 

ที่มา : ไทยรัฐ

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

เคล็ดลับ 3 อ. ดูแลสุขภาพ สวยจากภายในสู่ภายนอก

ผู้หญิงยุคนี้มีบทบาทหน้าที่การงานมากขึ้น จนไม่มีเวลาใส่ใจดูแลตัวเองอย่างเต็มที่ อย่าประมาทเชียวนะคะ เรื่องแบบนี้ยิ่งปล่อยทิ้งไว้นานวันยิ่งเยียวยายาก ในงานสัมมนาเรื่อง การดูแลสุขภาพกายและสุขภาพใจให้สวยจากภายในสู่ภายนอก จัดโดย Skin Fit (สกินฟิต) เครื่องดื่มที่อุดมด้วยสารอาหารสำคัญเพื่อผิวสวยง่ายๆ ทุกวัน ที่โรงพยาบาลยันฮี เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (29 ส.ค.) ได้เผยเคล็ดลับทำยังไงจึงมีผิวสวยใจใสตามแบบฉบับเวิร์กกิ้งวูเมน

ในฐานะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังประจำ รพ. ยันฮี "พญ. วิสุทธิพา คุณณะรักษ์ไทย" เปิดประเด็นว่า ศัตรูตัวร้ายของผิวคือแสงแดด ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดกระ ฝ้า ผิวหมองคล้ำและริ้วรอยเหี่ยวย่น ยิ่งบ้านเราแดดแรงขนาดนี้ ควรป้องกันด้วยการทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง โดยสามารถเริ่มทาครีมกันแดดได้ตั้งแต่เด็กๆ เน้นที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป ส่วนศัตรูตัวรองลงมาคือ พวกละอองฝุ่นในอากาศ ซึ่งทำให้คนสมัยนี้เป็นผื่นคันเพราะภูมิแฟ้กันเยอะมาก เช่นเดียวกับอาหารจำพวกแป้งและไขมัน เมื่อทานมากๆ ต่อเนื่องเป็นเวลานานก็จะก่อให้เกิดเซลลูไลต์และผิวเป็นเปลือกส้ม ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

คุณหมอแนะนำว่า เคล็ดลับการดูแลสุขภาพผิวที่ดีที่สุด คือควรทำควบคู่กันระหว่างการดูแลภายนอกและภายใน โดยยึดหลัก 3 อ. แรกคือ อาหาร ควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการทำลายผิวให้หมองคล้ำและเกิดริ้วรอย โดยอาหารที่ดีต่อสุขภาพผิวได้แก่ อาหารประเภทโปรตีน ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างเซลล์ อีกประเภทคือ ผักผลไม้ที่มีวิตามินซีมากช่วยเรื่องผิวพรรณได้โดยตรง เช่น วันไหนรู้สึกล้าๆ ผิวพรรณไม่สดใส ลองทานน้ำผลไม้คั้นสดๆ เช่น น้ำส้ม หรือน้ำฝรั่งจะช่วยให้สดชื่นและกระปี้กระเปร่าขึ้นทันที หรือทานเป็นผลไม้สดๆ ได้ยิ่งดี

ขณะเดียวกัน คุรหมอย้ำว่า ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทแป้งและไขมัน รวมจึงจังก์ฟู้ดและอาหารทอดๆ นอกจากจะทำให้น้ำหนักเพิ่มแล้ว ยังไม่มีประโยชน์ต่อผิวและเป็นตัวการให้เกิดริ้วรอยหมองคล้ำ ผิวพรรณไม่สดใส พวกไขมันกับของทอดๆ เช่น เฟรนซ์ฟราย ไก่ทอด รวมถึงน้ำอัดลม เมื่อทานไปนานๆ จะสะสมกลายเป็นเซลลูไลต์ ผิวเป็นเปลือกส้ม ถึงแม้จะออกกำลังกายจนน้ำหนักลด แต่เซลลูไลต์ก็ลดไม่มาก เพราะผิวพวกนี้สะสมอยู่ภายนอก ทางที่ดีควรป้องกันไม่ให้เกิดตั้งแต่แรก

สำหรับ อ.ที่สอง คุณหมอชี้แนะว่า เป็นเรื่องของอารมณ์ ควรทำอารมณ์ให้เบิกบานแจ่มใสและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อาจจะฝึกมองโลกแง่บวก เพื่อให้เห็นด้านที่ดีๆ มากกว่าด้านร้ายๆ หรือถ้ารู้ตัวว่ากำลังคร่ำเครียดกับงานจนเกินไป ก็ให้ลุกจากหน้าคอมพิวเตอร์ไปรีแล็กซ์สักพัก ขณะที่ อ.ออกกำลังกายเป็นอีกหนึ่งคาถาเพื่อสุขภาพดี คุณหมอยืนยันว่า การออกกำลังกายเป็นเคล็ดลับที่ทำให้เราแก่น้อยที่สุด ไม่เพียงแต่จะช่วยขับเหงื่อดีทอกซ์ผิว ยังทำให้อารมณ์แจ่มใส สุขภาพร่างกายแข็งแรง เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายและจิตใจที่ดีที่สุด

อย่างไรก็ดี คุณหมอฝากข้อคิดไว้ว่า การทานอาหารเสริมหรือเครื่องดื่มที่มีสารอาหารสูง เช่น วิตามินซี คอลลาเจน กรดอะมิโนและไนอซิน ก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับสาวทำงานยุคใหม่ซึ่งใช้ชีวิตเร่งรีบ จนไม่มีเวลาทานอาหารได้ครบ 5 หมู่ ขาดการออกกำลังกายและพักผ่อนไม่เพียงพอ อย่างวิตามินซีจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและต่อต้านอนุมูลอิสระ หรืออย่างไนอะซินวิตามินบี 3 ก็ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ทำให้ผิวมีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอกได้อย่างแท้จริง

ที่มา : ไทยรัฐ

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

ดื่มน้ำชาวันละ 4 ถ้วย ช่วยชะลอโรค

ชา

นักวิจัยพบว่า “น้ำชา” ซึ่งจัดว่าเป็นเครื่องดื่ม ประจำชาติของชาวเมืองผู้ดีอังกฤษนั้น มีคุณประโยชน์มากกว่าน้ำเสียอีก หากดื่มมันให้ได้ถึงวันละ 4 ถ้วยหรือมากกว่านั้น

เว็บไซต์นิวอินด์เพรสส์ดอทคอม ( www.newindpress.com ) รายงานว่าการดื่มน้ำชาไม่เพียงแต่จะช่วยดับกระหายเท่านั้น แต่มันยังมีประโยชน์ช่วย ป้องกันโรคหัวใจและมะเร็งอีกด้วย

ก่อนหน้านี้ คนมักจะเชื่อกันว่าการดื่มน้ำชาจะทำให้ปัสสาวะบ่อย แต่จากข้อมูลของนักวิจัยกลับบอกว่า ที่จริงแล้วน้ำชาสามารถช่วยเติมน้ำในร่างกายคนเราได้ พร้อมกันนี้ยังพบว่าประชากรผู้สูงอายุมักจะไม่ค่อยดื่มน้ำกันสักเท่าไร งานวิจัยก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่าการดื่มชาวันละ 3 ถ้วยช่วยลดความเสี่ยงในอาการหัวใจวายลงได้ 11 เปอร์เซ็นต์ ทั้งยังมีฤทธิ์ขจัดปัดเป่ามะเร็งบางชนิดออกไปได้ รวมทั้งมะเร็งลำไส้ด้วย

ประโยชน์ด้านอื่นของการดื่มชาก็ยังมี เช่น ลดอาการฟันผุ และช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้ กระดูก งานศึกษาบางชิ้นยังแนะนำด้วยว่าคาเฟอีนในชาช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น กุญแจสำคัญของเรื่องนี้นั้นอยู่ที่สารต้านอนุมูลอิสระ ชื่อฟลาโวนอยด์ ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในชา มีสรรพคุณสำคัญช่วยป้องกันเซลล์ถูกทำลาย

แคร์รี รักซ์ตัน นักโภชนาการและนักวิจัยบอกว่า ชาวอังกฤษส่วนใหญ่ดื่มน้ำชากันน้อยกว่าวันละ 3 แก้ว ซึ่งจัดว่าต่ำกว่าเกณฑ์ “สุขภาพดี” แถมบางคนยังคิดเชื่อผิดๆ อีกว่าการดื่มน้ำชาจะยิ่งทำให้ กระหายน้ำมากขึ้น เพราะที่จริงแล้ว น้ำชาช่วยดับกระหายมากกว่า ทั้งยังมีหลักฐานอีกด้วยว่าการดื่มชาจะมีประโยชน์ต่อหัวใจและดีกว่าดื่มน้ำเสียอีก เพราะในน้ำชามีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันมะเร็งได้ด้วย

สำหรับคนไทยอย่างเรา เมื่อรู้ถึงคุณประโยชน์ของน้ำชาอย่างนี้แล้ว จะลองนับว่าดื่มชาครบวันละ 4 ถ้วยหรือยัง ก็คงไม่เสียหายอะไร

ที่มา : นสพ.ไทยรัฐ

ถุงยางอนามัยใส่ใจสักนิด...เพื่อเซ็กส์เป็นสุข (สวยด้วยแพทย์)

condom     

เมื่อพูดถึงถุงยางอนามัยคงไม่มีใครไม่รู้จักเป็นแน่ แต่คุณแน่ใจแล้วเหรอว่าคุณรู้จักเจ้าถุงยางอนามัยนี้อย่างแท้จริง เราจึงนำข้อมูลเกี่ยวกับถุงยางอนามัยมาให้คุณผู้อ่านได้อ่านเพื่อเพิ่มความ เข้าใจถึงประโยชน์ วิธีการใช้ และผลข้างเคียงจากการใช้ให้มาก
   

      ถุงยางอนามัย ผลิตมาจากยางลาเท็กซ์บางๆ ชนิดหนึ่งใช้เพื่อสวมใส่ในเวลาที่มีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันโรคติดต่อ และการตั้งครรภ์ ศัพท์ภาษาอังกฤษเรียกว่า Condom, Rubber หรือ Prophylactic หน้าที่หลักของถุงยางอนามัยก็คือป้องกันการหลั่งของน้ำอสุจิของฝ่ายขายไม่ให้เข้าไปสู่มดลูกของฝ่ายหญิงนั่นเอง
    

     วิธีการใช้ถุงยางอนามัยนั้น ไม่ได้ยากสักเท่าไหร่แต่ก็ต้องใช้ความระมัดระวังอยู่บ้างในการใช้งาน เมื่อแกะถุงยางอนามัยออกจากของแล้วให้คลี่ออก และสวมลงไปที่องคชาตจนถึงบริเวณโคน โดยให้บีบบริเวณปลายถุงยางอนามัยเพื่อเว้นช่องว่างของถุงยางไว้สักเล็กน้อย ช่องว่างที่เว้นไว้นี้ใช้เพื่อกักเก็บน้ำอสุจิที่หลั่งออกมา และป้องกันการแตกหรือรั่วของถุงยางอนามัย
     วิธีถอดถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธี คือ เมื่อฝ่ายชายเกิดการหลั่งเรียบร้อยแล้ว ให้กดบริเวณถุงยางอนามัยบริเวณโคนไว้ให้แน่นก ่อนที่จะดึงองคชาตออกจากช่องคลอดของฝ่ายหญิง โดยต้องทำในขณะที่องคชาตยังคงแข็งตัวอยู่ เพื่อเป็นการป้องกันการหลุดออกของถุงยางอนามัย และการไหลของสเปิร์มเข้าสู่ช่องคลอด เนื่องจากความเปียกและลื่นของถุงยางอนามัย

     ในกรณีเพศสัมพันธ์แต่ละครั้ง ควรเลือกใช้ถุงยางอนามัยที่ใหม่แกะกล่องเท่านั้น ไม่ควรนำถุงยางอนามัยที่หมดอายุการใช้งานแล้ว หรือเคยผ่านการใช้งานมาใช้ซ้ำเป็นเด็ดขาด เพราะประสิทธิภาพของถุงยางนั้น ได้เสื่อมเรียบร้อยแล้ว ถุงยางอนามัยที่หมดอายุการใช้งานนั้นสังเกตได้ง่ายคือ เมื่อนำออกจากกล่องจะมีลักษณะแห้ง เหนียว แข็ง และหยาบกระด้าง เมื่อคุณซื้อถุงยางอนามัยควรซื้อเก็บไว้ในจำนวนที่ไม่มากเกินไป เพื่อป้องกันการเสื่อมประสิทธิภาพของถุงยางอนามัย และเมื่อไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน นอกจากนั้นควรเก็บไว้ในสถานที่เย็น แห้ง และไม่ขึ้น
     หลังจากการใช้งานทุกครั้งควรทิ้งลงถังขยะทันที ไม่ควรนำไปทิ้งลงชักโครก เพราะอาจจะเกิดการอุดตันของท่อน้ำได้ สำหรับสารหล่อลื่นต่างๆ ที่ใช้ในการมีเพศสัมพันธ์ เช่น น้ำมัน ปิโตรเลียมเจลลี่ หรือ เบบี้ออย ไม่แนะนำให้ใช้กับถุงยางอนามัย เพราะสารเหล่านี้อาจทำให้เกิดการแตกตัวของยางได้
คู่รักที่เลือกใช้ถุงยางอนามัยนั้น จะต้องมีความรับผิดชอบมากพอที่จะหยุดและสวมถุงยางอนามัยก่อนการร่วมเพศทุกครั้ง
ถุงยางอนามัยป้องกันภัยได้ดีแค่ไหน
ถุงยางอนามัย ถือเป็นสิ่งสำคัญที่คู่รักทั้งหลายในปัจจุบันนิยมใช้เพื่อการคุมกำเนิด และโรคติดต่อทางเพศต่างๆ ซึ่งจะได้ผลหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่ารู้จักวิธีใช้ได้ถูกต้องมากน้อยเพียงใด
          นอกจากการคุมกำเนิดแล้ว ข้อดีของถุงยางอนามัยอีกอย่างหนึ่งก็คือ การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมทั้งโรคเอดส์ แต่การติดเชื้อจากผิวหนังอักเสบต่างๆ นั้นไม่สามารรถป้องกันได้
ผลข้างเคียงต่างๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้
          การใช้ถุงยางอนามัยนั้น ส่งผลข้างเคียงได้ทั้งกับฝ่ายชายและฝ่ายหญิง โดยจะเกิดอาการต่างๆ ดังต่อไปนี้
ระคายเคืองเนื่องจากการแพ้ยาง ระคายเคืองบริเวณองคชาต และช่องคลอด เนื่องมาจากการแพ้สารหล่อลื่นที่เคลือบอยู่บนถุงยางอนามัย
ผู้ใช้ถุงยางอนามัยส่วนใหญ่
          ผู้ที่เลือกใช้ถุงยางอนามัยส่วนใหญ่นั้น คือคู่รักทั้งหลายที่ต้องการมีเพศสัมพันธ์แต่ไม่ต้องการให้เกิดการตั้งครรภ์หรือติดต่อโรคต่างๆ ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง คู่รักที่เลือกใช้ถุงยางอนามัยนั้น จะต้องมีความรับผิดชอบมากพอที่จะหยุดและ สวมใส่ถุงยางอนามัยก่อนการร่วมเพศทุกครั้ง ซึ่งหน้าที่นี้คือหน้าที่ความรับผิดชอบหลักของฝ่ายชาย การเลือกใช้ถุงยางอนามัยถือเป็นวิธีการคุมกำเนิด ที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดโดยไม่ต้องใช้เงินจำนวนมากอีกด้วย
สถานที่จำหน่าย
          ถุงยางอนามัยถือเป็นวิธีการคุมกำเนิดของฝ่ายชายที่หาง่ายและสะดวกที่สุด การซื้อถุงยางอนามัยนั้นไม่จำเป็นต้องมีใบสั่งยาทางการแพทย์ สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา ซุปเปอร์มาร์เก็ด หรือตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป
          ในปัจจุบันถุงยางอนามัยมีรูปแบบที่หลากหลายแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นขนาดที่แตกต่าง พื้นผิวของยาง สีสันหลากหลาย และกลิ่นที่ถูกสรรสร้างเพิ่มเติมลงไปในถุงยางอนามัย พื้นผิวของถุงยางอนามัยนั้นอาจเคลือบด้วยสารหล่อลื่นต่างๆ ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตแต่ละบริษัท
ราคาจำหน่าย
          เนื่องจากถุงยางอนามัยเป็นวิธีคุมกำเนิดที่สะดวก และหาซื้อง่ายชนิดหนึ่งมีผู้ค้าหลายบริษัทที่จัดจำหน่ายถุงยางอนามัยออกสู่ตลาด ราคาจำหน่ายของถุงยางอนามัยจึงไม่แพงนัก โดยส่วนใหญ่จะราคาประมาณ 50-60 บาทต่อหนึ่งกล่อง แต่เมื่อซื้อในขนาดกล่องที่ใหญ่ก็จะได้ราคาที่ถูกลง
จริงอยู่ที่การใช้ถุงยางอนามัยเป็นการคุมกำเนิดที่สะดวกและปลอดภัยอย่างหนึ่ง แต่ไม่มีการป้องกันใดที่สามารถป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มหรอกครับ ฉะนั้น ในการมีเพศสัมพันธ์แต่ละครั้งควรคิดให้รอบคอบถึงความพร้อม และการป้องกันอย่างถูกต้องให้ถี่ถ้วนก่อนทุกครั้ง เพราะเมื่อเกิดปัญหาตามมาก็คงสายเกินไป แล้วคุณก็จะเป็นคนที่ทุกข์ใจมากคนหนึ่งเป็นแน่ครับ


ที่มา : นิตยสารสวยด้วยแพทย์

ปาฏิหาริย์ของอาหารจากธรรมชาติ

อาหารสุขภาพ 

ทันทีที่เราได้ยินเกี่ยวกับการรับประทานอาหารจาก ธรรมชาติหรืออาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์หรืออาหารมังสวิรัติ เราคงมีความเห็นคล้ายคลึงกันว่า
      ?คงเป็นอาหารของนักบวช หรือของคนที่เคร่งศาสนา?
     ?คงเป็นอาหารของคนที่ไม่มีความรู้ในด้านโภชนาการ?
      ?คงเป็นอาหารที่ไม่สามารถให้สารอาหารครบถ้วน และเพียงพอแก่ร่างกาย?
ถ้าเราได้ทราบเรื่องราวจากประสบการณ์ตรงของบุคคลที่สำคัญ 2 คนต่อไปนี้ ความคิดเกี่ยวกับอาหารมังสวิรัติของเราอาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เรื่องแรกเป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่งของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ปราโมช บุคคลสำคัญที่คนไทยรู้จักกันดีที่ได้ใช้ระยะเวลาหนึ่งในคลีนิคธรรมชาติบำบัดที่มีชื่อเสียงของโลกในซูริค ประเทศสวิสเซอร์แลนด์และอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องที่โด่งดังไปทั่วโลกของ นายแพทย์แอนโทนีแซททิลาโร ผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมากระยะสุดท้าย และหายจากโรคนี้ด้วยการควบคุมอาหาร
เรามาลองฟังเรื่องราวของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ได้เขียนลงในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ คอลัมน์ข้างสังเวียน ที่เคยฮือฮาจนทำให้หลายคนอยากไปซูริคกันบ้าง ท่านได้เล่าถึงตัวท่านเองว่า
โรคของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช คือ โรคความขาดระเบียบ ก่อนออกจากเมืองไทย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มีน้ำตาลในเลือด 151 และการที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ไปซูริคก็เพื่อให้คนอื่นช่วยจัดระเบียบการกินอยู่หลับนอน ใช้หลักการคล้ายพุทธศาสนา
หมอที่รักษาชื่อ เคมเมอเรอร์ นับถือศาสนาพุทธนิกายหินยาน อาหารที่ให้ทานเป็น อาหารมังสวิรัติบริสุทธิ์ ไม่มีเนื้อสัตว์ หรืออะไรที่มาจากสัตว์เจือปนเลย ดูเหมือนการใช้ผักสดประกอบอาหารนี้ จะเป็นยาที่สำคัญที่สุดของสถานพยาบาลแห่งนี้
เมื่อตรวจแล้วแพทย์จะอธิบายสมมติฐานของโรคให้ผู้ป่วยฟัง พร้อมกับบอกวิธีรักษาให้ ซึ่งผู้ป่วยจะต้องร่วมมืออย่างใกล้ชิด
การรักษา มีทั้งทางกายและทางใจ
การรักษาทางกายนั้น ไม่ใช้หยูกยา อย่างที่ใช้กันอยู่ตามโรงพยาบาลทั่วไป ส่วนใหญ่รักษาด้วยอาหาร จะมีให้ยาประกอบก็เฉพาะในกรณีจำเป็นบางรายเท่านั้น
ผลไม้

อาหารที่ปราศจากพิษนั้นได้แก่ ผัก และผลไม้ พูดง่าย ๆว่าเป็นอาหารเจล้วน ๆ อาหารผักและผลไม้นี้ สังเกตดูว่าเขาใช้ของสดจริง ๆ ผลไม้นั้นซื้อจากข้างนอกแต่เขาเลือกอย่างสดดีทั้งนั้น ส่วนผักสถานพยาบาลมีสวนผักค่อนข้างใหญ่อยู่ข้างหลัง มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลและเก็บมาให้ผู้ป่วยกินได้วันต่อวันไม่ขาด จึงเป็นผักสดชนิดเก็บวันไหนกินวันนั้น อาหารหลักที่ทุกคนต้องกิน คือ? เมิสลี ทำด้วยข้าวโอ๊ดบดและแอปเปิ้ลที่ขูดให้เป็นเส้นเหมือนมะพร้าว นมเปรี้ยว และผลไม้ตามฤดูกาล
ข้าวโอ๊ดที่บดแล้วตากแห้งเหมือนกับข้าวสัตตูเอามาผสมกับนมเปรี้ยวจนข้นเหมือนข้าวต้มโอ๊ต แล้วผสมลูกแอปเปิ้ลขูดเมิสลีนี้กินวันละสามเวลาก่อนอาหาร? ความขลัง? อยู่ที่ตรงนี้อาหารนอกจากนั้นก็มี ซุปผัก ทั้งซุปข้น ซุบใส ก้านผักเปลือกผัก หรือสวนอื่น ๆ ของผักที่ไม่กินกันตามปกตินั้น เขาไม่ทิ้งเลยแต่เอาลงมาต้มรวมกันไว้ในหม้อใหญ่ เติมเกลือเล็กน้อยพอออกรสเค็มปะแล่ม ๆ
อาหารแต่ละมื้อ เริ่มจากผลไม้ตามด้วยผักดิบหลายชนิด ลงท้ายด้วยผักต้ม ผักนึ่ง ปรุงรสต่าง ๆ กัน นอกจากนั้นก็มีขนมปังทำจากแป้งสาลีไม่ขายเหมือนกับข้าวแดงของไทย ลูกนัดมันฮ่อ เกาลัด และเมล็ดผลไม้ประเภทต่าง ๆ เครื่องดื่มถ้าไม่ใช่น้ำต้มผักก็มีน้ำเปล่า อาหารทั้งหมดนี้คนป่วยแต่ละคนจะได้กินมากน้อยก็แล้วแต่อาการของโรคและตามแพทย์สั่งให้กิน
ทางสถานพยาบาลเขาบอกว่า อาหารและเครื่องดื่มที่กินและดื่มกันอยู่ทั่วไป เช่นเนื้อสัตว์ สุราเมรัยหรือแม้แต่น้ำชา กาแฟนั้นเป็นพิษแก่ร่างกาย และถ้าร่างกายเก็บพิษนั้นสะสมไว้มากเข้าก็จะเกิดโรค
การกินอาหารแบบนี้ เป็นการถ่ายพิษออกจากตัว
ความดันโลหิตที่เคยอยู่ในระดับ 170 หรือ 160 ข้างล่าง 80 บ้างถึง 1 00 ก็เคยมี มาอยู่ที่นี่ไม่กี่วัน ความดันโลหิตต่ำลงมา120-50 เหมือนเด็กเกิดใหม่ และอยู่ในระดับนี้ตลอดมา
หัวใจที่เคยเดินคร่อมจังหวะบ้างเป็นครั้งคราว เดี๋ยวนี้ก็เดินได้จังหวะเรียบร้อยไม่ผิดพลาด หนุ่มขึ้นสัก 10 ปีเห็นจะได้หยูกยาอะไรก็ไม่มี กินแต่อาหารที่เขากำหนดให้ ซึ่งได้แก่อาหารทิพย์ ?เมิสลี? และใช้ชีวิตอยู่ในกรอบที่เขากำหนดให้เท่านั้นเองพูดถึงยาหรืออาหารที่นี่ก็แปลก ให้กินเมล็ดถั่วเมล็ดงา และเมล็ดอื่นมากมาย เหมือนตัวนกคีรีบูน กินข้าวอย่างนกหลายวันเข้าก็เริ่มจะร้องเป็นนกคีรีบูน แต่ที่สำคัญก็คือ ยอมปล่อยตัวมาจนน้ำหนักตัวเกินที่ควรจะเป็นเมื่อคิดเทียบกับส่วนสูงไปประมาณ 10 กิโลเห็นจะได้เดี่ยวนี้ลดไปมากอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ร่างกายก็ได้รับผลดีจริง ๆจากการรักษาพยาบาลของเขา
ตรงนี้ก็แปลก
ผมได้เห็นสตรีคนหนึ่ง เป็นโรคหมดกำลังขา เดินไม่ได้เลยทีเดียว นอนเปลหามเข้าสถานพยาบาล
พอมาถึงก็ห้ามเข้าห้องหายไปหลายวัน
พอถึงวันที่หกก็เดินออกมานั่งรับประทานอาหารในห้องอาหาร และเดินเล่นในสวนได้ ในวันที่หกและวันที่เจ็ดนั้น ยังต้องถือไม้เท้าซึ่งก็นับว่าดีอยู่มากแล้ว
พอถึงวันที่แปดก็โยนไม้เท้าทิ้งเดินเหินกระฉับกระเฉงเป็นปกติทุกอย่าง ถ้าไม่เห็นด้วยตาเพียงแต่ใครมาบอกผมคงไม่เชื่อคุณลุงอีกคนหนึ่งอายุร่วมแปดสิบ เป็นโรคกระเพาะ กินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะปวดท้องทั้งวัน ผอมร่องแร่งโงหัวไม่ขึ้น เดินหัวตกโซเซ เห็นแล้วน่าสมเพชเวทนาเป็นที่สุด มาเข้าโรงพยาบาลพร้อมกับผม นั่งกินข้าวติด ๆ กัน พอจะเห็นได้ว่า เขาให้แกกินอะไรก็เมิสลีอย่างที่ผมกินนั่นแหละ
คุณลุงแกจะไม่กิน พวกพยาบาลเขาก็เคี่ยวเข็ญปลอบบ้างขู่บ้างให้แกกินให้หมดทุกมื้อ อยู่มาได้สองอาทิตย์ เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
เรื่องอาหารเป็นหัวใจของคลีนิคนี้ อาหารคือยา ยาคืออาหาร ถ้ามนุษย์กินอาหารถูกต้องกับสัดส่วนตามธรรมชาติที่ร่างกายต้องการก็จะไม่เป็นโรค หมอเบอร์เคอร์เบนเนอร์ เป็นผู้ค้นพบคุณสมบัติอันล้ำค่าของอาหารธรรมชาติ เขายืนยันว่าผลไม้และผักสดซึ่งเก็บมาใหม่ ๆ นั้นเป็นอาวุธอันมีอานุภาพที่จะต่อสู้กับโรคได้มากมายหลายชนิด เขาจึงคิดสูตรอาหารนี้ขึ้นเพื่อให้คนไข้รับประทานการรักษาโดยตรงของที่นี่ก็คือ อาหาร การหายใจ การออกกำลังกายการพักผ่อน-หลับนอน อากาศ น้ำ และแสงแดด เหล่านี้ ประกอบกันจะทำให้สุขภาพดี
การกินอาหารเขากำหนดให้วันละ 3 ครั้ง เขาแนะนำให้กินอาหารตรงเวลา อาหารก็มีพวกผัก ผลไม้สด ข้อสำคัญต้องอดทนพยายามกินต่อไปจะชอบเอง ไม่ต้องรีบทาน ขอให้เคี้ยวให้ละเอียดตลอดเวลาที่อยู่ที่คลีนิคนี้ผมไม่ได้พบ น้ำชา กาแฟ หรือเนื้อสัตว์เลย
หมอเบอร์เนอร์ รู้คุณค่าอันแท้จริงของผลไม้ และผักดิบก่อนที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบวิตามินเสียอีก แต่คนทั่วไปคิดว่า โปรตีนที่ได้มาจากสัตว์ให้คุณค่าทางอาหารมากกว่า แต่ความจริงแล้ว โปรตีนที่มาจากผักดิบกลับดีกว่า อารยธรรมสมัยใหม่ทำให้คนได้รับความยุ่งยากในการบริโภคอาหาร จึงเกิดความคิดใหม่ว่าเราควรเลิกกินของหวาน ดื่มเหล้า กาแฟ แม้แต่เนื้อสัตว์ ก็ไม่ควรกิน และไม่มีปัญหาว่า จะทำให้ลดกำลังของร่างกาย คนแบกถ่านหินซึ่งต้องทำงานวันละ 9ชั่วโมง แจ้งว่า เขาทำงานได้สบาย เบาตัวขึ้นหลังจากมากินอาหารของหมอเบอร์เนอร์ สุขภาพอนามัยและโรคภัยไข้เจ็บมีความเกี่ยวพันกับเรื่องหลายเรื่อง เช่น อากาศ ความสะอาด การออกกำลังกาย การขับถ่าย กินพืชผักสีเขียวให้ได้ทุกวัน เพราะสีเขียวนั้นก็คือคลอโรฟีล ซึ่งเป็นสารที่ช่วยสร้างโลหิตแดง ช่วยให้ร่างกายใช้โปรตีน ควบคุมความดันโลหิต ลดน้ำตาล ช่วยรักษาแผลให้หายเร็ว ทฤษฎีนี้ถือหลักว่า จะไม่เอาเนื้อสัตว์มาปรุงอาหาร เพราะไม่ใช่อาหารธรรมชาติของมนุษย์ และในช่วงเวลาระหว่างอาหาร จะต้องไม่มีอาหารอื่นเข้ามาแทรก คนที่เกลียดผลไม้พึงรู้ตัวว่า ร่างกายต้องการผลไม้ อาหารดิบเป็นอาหารนำ ต้องกินอาหารดิบก่อนอาหารทุกมื้อ...
อีกเรื่องเป็นเรื่องที่โด่งดังทั่วโลกของนายแพทย์ แอนโทนีแซททิลาโร ผู้หายจากโรคมะเร็งของต่อมลูกหมากขั้นสุดท้ายด้วยการควบคุมอาหาร ที่ได้รับการตีพิมพ์ใน Life Magazine.... นายแพทย์แอนโทนี แซททิลาโร เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมโทดิสต์ เมืองฟีลาเดลเฟีย ประเทศสหรัฐอมเริกา ซึ่งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งที่ต่อมลูกหมากระยะสุดท้าย เมื่อเดือนมิถุนายน 2521 และปรากฏว่ามะเร็งได้แพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น กระโหลกศีรษะไหล่ กระดูกสันหลัง กระดูกก้นกบ และกระดูกซี่โครง ในขณะที่นายแพทย์ผู้นี้มีอายุเพียง 47 ปี และหมอผู้รักษาได้พยากรณ์ว่าเขาอาจจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 2-3 ปีเท่านั้น หลังการวินิจฉัย แพทย์ได้ผ่าตัดเอาลูกอัณฑะออกและรักษาด้วยวิธีการแพทย์สมัยใหม่ โดยฉีดฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโตรเจน) เพื่อระงับการแพร่กระจายของโรคอย่างไรก็ตาม ใช้เวลาไม่นานนักผลก็ปรากฏว่า วิธีการรักษาดังกล่าวไม่อาจหยุดยั้งการลุกลามของมะเร็งได้ ทำให้นายแพทย์ผู้นี้สิ้นหวังในการรักษาแบบปัจจุบัน และแสวงหาวิธีอื่นในการรักษาโรค สิ่งที่เลวร้ายสำหรับนายแพทย์ผู้นี้ก็คือ การที่มะเร็งลุกลามไปที่กระดูกสันหลัง ทำให้มีอาการปวดหลังอย่างรุนแรงตลอดเวลา ต่อมาในเดือนสิงหาคม2521 นายแพทย์แซททิลาโรได้รับคำแนะนำให้รักษาด้วยการควบคุมอาหาร ภายใต้ทฤษฎีที่ว่า? มะเร็งเป็นสภาวะไม่สมดุลอย่างยิ่งในร่างกาย เกิดจากสาเหตุใหญ่คือ การรับประทานอาหารไม่ถูกหลัก? เขาได้ปฏิบัติตัวและทานอาหารแบบแมคโครไบโอติกส์อย่างเคร่งครัด (อาหารที่เคยกิน และชอบกินถูกตัดออกหมด มีเนื้อสัตว์ นมไข่ ข้าวที่ขัดสีจนขาว รวมทั้งขนมปังขาวทุกชนิด อาหารที่มีสารเคมีอาหารกระป๋อง น้ำดื่มพวกแอลกอฮอล์ ฯลฯ เปลี่ยนมาเป็นอาหารเมล็ดพืชแท้ 50 ถึง60 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะข้าวซ้อมมือ พืชผัก 25เปอร์เซ็นต์ ถั่วและพืชทะเล 1 5 เปอร์เซ็นต์) นายแพทย์ แซททิลาโรได้เขียนความรู้สึกของเขาไว้ว่า ?ตัวเองไม่มีจุดหมาย หมดหวัง และทรมาน แต่ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่น น่าจะลองรักษาดูด้วยวิธีธรรมชาติดีกว่ารอความตายอย่างทรมาน?
นายแพทย์แซททิลาโรได้มีโอกาสพบและศึกษาวิธีการปฏิบัติตัวตามหลักแมคโครไบโอติกส์จากมิชิโอะ คึชิ (MichiO Kushi) ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์แผนโบราณของตะวันออก หลังจากได้พบและรับคำ ศึกษาจากปรมาจารย์ทางแมคโครไบโอติกส์ชาวญี่ปุ่นผู้นี้แล้ว นายแพทย์ แซททิลาโร ก็เกิดความมั่นใจยิ่งขึ้นว่า การรักษาโรคมะเร็งของเขาด้วยวิธีแมคโครไบโอติกส์นั้น น่าจะเป็นวิธีดีที่สุดในการรักษาโรคร้าย เขาได้ศึกษาหาความรู้ทางปรัชญาของแพทย์ตะวันออกรวมทั้งปฏิบัติตนตามแนวทางแมคโครไบโอติกส์อย่างเคร่งครัด หลังจากนั้นเพียง 5 เดือน อาการปวดหลังของเขาก็ค่อย ๆ ดีขึ้นและหายไปในที่สุดร่างกายก็มีความกระฉับกระเฉงและจิตใจผ่องใสมาก(นายแพทย์แซททิลาโรยังได้เล่าต่อไปอีกด้วยว่า ผมกลับรู้สึกดีขึ้นกว่าหลายปที่ผ่านมาเป็นเวลากว่า 20 ปีที่ผมเป็นโรคลำไส้เรื้อรัง ใช้ยาหลายชนิดแต่ก็ไร้ผลหลายสัปดาห์มานี้หลังจากผมเริ่มควบคุมอาหารโรคเหล่านี้ก็หายไป)เมื่อได้รับการตรวจจากแพทย์ผู้รักษาก็ได้พบว่า โรคมะเร็งได้หยุดลุกลาม แต่ก็ยังปรากฏร่องรอยของโรคมะเร็งในกระดูกต่าง ๆ
ในวันที่ 27 กันยายน 2522 แซททิลาโร ได้รับการเอ็กซเรย์กระดูกปรากฏว่า ไม่พบร่องรอยมะเร็งในกระดูกชิ้นใด ๆ เลยทั้ง ๆ ที่เคยมีมะเร็งปรากฏอยู่ในอดีต และนายแพทย์แซททิลาโรได้หายจากโรคมะเร็งอย่างสมบูรณ์ที่สุด
ในตอนสุดท้ายของเรื่องราว นายแพทย์แซททิลาโรได้เขียนว่า ทุกวันนี้ผมมีสุขภาพสมบูรณ์ที่สุดที่เคยเป็นมาในรอบ 30 ปี ผมยังทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมโทดิสต์ ผมยังควบคุมอาหารต่อไป และเรื่องที่ผมออกไปบรรยายข้างนอกบ่อยที่สุดคือ ?การควบคุมอาหารสามารถต้านทานมะเร็งได้?
เรื่องที่ยกมาเป็นเพียงประสบการณ์ตรงของบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังเพียง 2 ประสบการณ์ จากอีกร้อย ๆ พัน ๆ ประสบการณ์ของผู้ที่ได้พบกับชีวิตใหม่หลังจากการเปลี่ยนแปลงการบริโภคอาหารเราคงจะเริ่มเห็นความมหัศจรรย์ของอาหารจากธรรมชาติในการดูแลความแข็งแรงของร่างกาย และรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่ร้ายแรงต่าง ๆ ของคนเราบ้างแล้วใช่ไหมครับ ?

ที่มา : ข้อมูลจากเวปไซต์ไมด์ไซเบอร์

แอปเปิ้ลไซเดอร์ สูตรลับความสวยของคนรักสุขภาพ

แอปเปิ้

พูดถึง "แอปเปิ้ล" หรือ "ราชาแห่งผลไม้" เป็นได้เรียกความสนใจจากสาวๆ กันได้ถ้วนหน้า ด้วยสรรพคุณมากมาย ทั้งให้วิตามินชนิดต่างๆ บำรุงผิวพรรณให้สดใสชุ่มชื่น และคุณสมบัติสำคัญที่สุด นั่นก็คือ การลดความอยากอาหาร แล้วยังช่วยเรื่องระบบของการย่อยอาหารได้ดีเยี่ยม นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เหล่าบรรดาผู้ผลิตอาหารเพื่อสุขภาพนำแอปเปิ้ลมาเป็นหนึ่งในส่วนผสมหลักตัวชูโรงช่วยรักษาสุขภาพ ซึ่งได้ผลดีและมีคุณค่าอย่างน่าอัศจรรย์ใจ

 

บรรดาอาหารสุขภาพที่น่าสนใจ ก็คือ "แอปเปิ้ลไซเดอร์" หรือที่เราเรียกกันว่า น้ำส้มสายชูหมัก ที่เกิดจากการหมักแอปเปิ้ลสด ซึ่งปลูกโดยไม่มีการใช้สารเคมีเจือปนนำมาบด และปล่อยให้เกิดการหมักตัวในถังไม้ที่มีคุณภาพดี พอถึงอายุเหมาะสม น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิล จะประกอบไปด้วยเส้นใยบางๆ ที่เรียกว่า มาเธอร์ (Mother) เห็นได้ชัดเมื่อยกขึ้นส่องกับแสง

...เส้นใยบางๆ ที่มีมาเธอร์อยู่ในแอปเปิ้ลไซเดอร์ คือส่วนที่มีสารอาหารมากที่สุด และดีต่อระบบย่อยอาหารอย่างมาก การผ่านความร้อนจะทำลายมาเธอร์ที่มีอยู่ในน้ำส้มสายชูหมัก สิ่งนี้จึงทำให้น้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ลนี้แตกต่างจากน้ำส้มสายชูทั่วไปในท้องตลาดที่ผ่านการกลั่นกรอง...

ประโยชน์ของน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล อุดมด้วยแร่ธาตุอาหารต่างๆ เช่น โพแทสเซียม ซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญของเซลล์ในร่างกาย ช่วยให้เซลล์มีความแข็งแรง และเป็นส่วนที่ช่วยให้เส้นเลือดแดงของมนุษย์มีความยืดหยุ่นได้ดี เบต้าแคโรทีน พบในแอปเปิ้ลไซเดอร์สามารถย่อยและดูดซึมสารอาหารได้ง่าย ผลการวิจัยพบว่า การบริโภคอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง กรดอะซิติก สำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก กรดนี้สารมารถดึงไขมันออกจากเซลล์ไปใช้เพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานต่อไปได้ นอกจากนี้ยังมี ไฟเบอร์ ช่วยในการดึงคอเลสเตอรอลออกจากร่างกายได้เป็นอย่างดี และวิตามินต่างๆ อาทิ ซี บี1 บี2 และ เอ

ด้วยความเป็นผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้ง่ายตามซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ อาทิ ดิ เอ็มโพเรี่ยม, ฟู้ดแลนด์, โกลเด้น เพลซ และวิลล่า ซูเปอร์มาร์เก็ตนั่นเอง จึงทำให้เป็นที่นิยมของผู้รักสุขภาพ สาวๆ ผู้รักสุขภาพความงามสามารถนำน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลมาใช้ได้สารพัดประโยชน์ เช่น ผสมเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ทำน้ำสลัด ปรุงอาหาร หรือ ใช้ทาผิวก็ได้ด้วย

อีกหนึ่งสูตร น้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ปั่น ซึ่งทำได้ง่ายมาก ส่วนผสมก็มีแอปเปิ้ลแดงหั่นเป็นชิ้น 1 ถ้วย น้ำแอปเปิ้ล ? ถ้วย แอปเปิ้ลไซเดอร์วีนีก้า 2-3 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือสารให้ความหวาน 1 ซอง น้ำแข็งเล็กน้อย ปั่นส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันจนละเอียด แก้วนี้อุดมไปด้วยโพแทสเซียม และไฟเบอร์

สำหรับสาวๆ และคนทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำคงจะตื่นตาตื่นใจไม่น้อยกับความเปลี่ยนแปลงรูปแบบใหม่ของอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ซึ่งง่ายและสะดวกในการเลือกรับประทานขึ้นด้วย

ที่มา : หนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก

กินปลาป้องกันโรคหัวใจ

โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นโรคที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตเป็นอันดับต้น ๆ ของทั้งประชาชนคนไทยและของโลกทีเดียว และจากข้อมูลทางสถิติของประเทศในสหรัฐอมเริกาพบว่า ประชาชนกว่า 2 ล้านคนมีปัญหาเกี่ยวกับ โรคหัวใจ และหลอดเลือดซึ่งเป็นโรคเรื้อรัง ทั้งนี้การเกิดปัญหาเกี่ยวกับเส้นเลือดอาจจะส่งผลให้ปัญหาระบบการหายใจ ทำให้ต้องหายใจถี่ ๆ และหอบ ส่งผลทำให้ไม่สามารถออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้

ปลา

รายงานวิจัยของนายแพทย์ Dariush Mozaffarian จากโรงพยาบาล Brigham and Women's มหาวิทยาลัย Harvard Medical School ในเมืองบอสตัน ที่ได้ตีพิพม์ผลการศึกษาวิจัยผลดีของการรับประทานปลาอบหรือย่างจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด

รายงานดังกล่าวได้พูดถึงประโยชน์ของการรับประทานปลา ว่าสามารถลดความเสี่ยงเกี่ยวกับความผิดปกติของ หัวใจ และหลอดเลือด รวมทั้งการเต้นที่ผิดปกติของหัวใจ ทั้งนี้ก็ควรอย่างยิ่งที่จะรับประทานปลาในรูปแบบอบหรือย่าง ไม่ใช่การทอด เพราะการทอดจะไปเพิ่มปริมาณไขมันในอาหารให้เพิ่มสูงขึ้นจาก หัวใจ ที่มี 4 ห้อง แทนที่ 2 ห้องล่างซึ่งมีหน้าที่บีบตัวเพื่อสูบฉีดเลือดไปจะทำงานอย่างปกติก็อาจจะทำไม่ได้เนื่องจากอาจมีการอุดตันในหลอดเลือดเกิดขึ้นได้ และเหตุการณ์แบบนี้ก็เป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ได้ถึง 15-20% คุณหมอได้ทำการศึกษาในคน 4,815 คนที่มีอายุเกิน 65 ปีขึ้นไปตั้งแต่ปี 1989 โดยคุณหมอจะพยายามเฝ้าสังเกตและสอบถามเกี่ยวกับการรับประทานอาหารของคนต่าง ๆ เหล่านี้ พบว่า คนที่รับประทานปลาที่ปรุงด้วยการย่างหรืออบบ่อย ๆ จะมีโอกาสที่จะมีปัญหาของโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดน้อยกว่า และยังพบอีกว่าคนที่รับประทาน 1-4 ต่อสัปดาห์ ก็จะลดความเสี่ยงได้มากถึง 28% เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่รับประทานน้อยกว่าเดือนละครั้ง

คุณหมอได้กล่าวต่ออีกว่าเหตุดังกล่าวน่าจะเป็นผลมาจากกรดไขมัน Omega-3 ที่มีมากในปลานั่นเอง ทั้งนี้กรดไขมันดังกล่าวนอกจากจะพบในปลาแล้วยังจะพบได้ในอาหารอื่นๆ เช่น wall nut ผักใบเขียว ซึ่งเจ้ากรดไขมัน Omega-3 นี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดเท่านั้น มันยังช่วยบำรุงสมองให้มีการพัฒนาและทำงานได้ดีอีกด้วย

ที่มา : http://www.munjai.com/

บะหมี่สำเร็จรูป? กินง่าย อร่อยปากลำบาก-สุขภาพ

บะหมี่

1 ในข่าวใหญ่ของเดือนตุลาคมต้องมีข่าวกรณี "มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค" เผยแพร่ผลการสำรวจปริมาณ "โซเดียม" อันตรายที่ซ่อนอยู่ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งพบว่า บะหมี่สำเร็จรูปส่วนใหญ่มีปริมาณโซเดียมในเครื่องปรุงรสมากกว่าปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน จุดเด่นของบะหมี่สำเร็จรูปนั้นเป็นอาหารปรุงกินง่าย ราคาถูก แต่ข้อเสียสำคัญคือไม่มีสารอาหาร ทั้งยังส่งผลเสียต่อสุขภาพถ้าบริโภคมากไป ความห่วงใยว่าบะหมี่สำเร็จรูปจะเป็นภัยเงียบไม่ได้มีเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นทั่วโลก พร้อมๆ กับยอดขายบะหมี่สำเร็จรูปที่พุ่งสูงถึง 6,500 ล้านซอง/ถ้วยต่อปี

บะหมี่สำเร็จรูปที่คนทั่วโลกนำไปใส่น้ำร้อนต้มรับประทานกันทุกวันนี้ เกิดขึ้นจากความคิดของ "โมโมฟุกุ อันโด" ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัทนิชชิน ประเทศญี่ปุ่น

อันโดเริ่มคิดถึงการทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปภายหลังจากธุรกิจการเงินของเขาล้มละลายในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

ขณะนั้นญี่ปุ่นเกิดภาวะขาดแคลนอาหาร และได้รับบริจาคแป้งสาลีจากสหรัฐอเมริกาจำนวนมาก อันโดจึงคิดนำแป้งสาลีมาแปรรูปทำเป็นเส้นบะหมี่แห้งๆ ซึ่งผ่านการแช่ในน้ำซุปและทอดด้วยน้ำมันร้อนจัดก่อนนำมาผึ่งให้แห้งเพื่อที่จะได้เก็บไว้นานๆ นำมากินได้ทันทีเมื่อเติมน้ำร้อนเข้าไปในบะหมี่

ปี 2501 บริษัทนิชชินวางจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสซุปไก่เป็นครั้งแรกในโลก ใช้ชื่อผลิตภัณฑ์ "ชิกเก้น ราเมน" ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติพฤติกรรมการบริโภคอาหารครั้งสำคัญแห่งศตวรรษที่ 20

ปัจจุบัน บ.นิชชินทำยอดขาย 1 แสนล้านบาทต่อปี และโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าของตนให้มีมูลค่าสูงขึ้นด้วยการผลิต "บะหมี่สำเร็จรูปสำหรับกินในอวกาศ" แนวโน้มการบริโภคบะหมี่สำเร็จรูปที่พุ่งสูงมากขึ้นทุกขณะ ทำให้หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคและชุมชนการแพทย์เริ่มส่งเสียงเตือนผู้บริโภคดังขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่า บะหมี่สำเร็จรูปไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งอาจก่อให้เกิดโทษต่อสุขภาพ

สมาคมผู้บริโภคออสเตรเลีย(เอซีเอ) สำรวจพบว่า บะหมี่สำเร็จรูป 1 ซองมี "ไขมัน" มากพอๆ กับ "อาหารขยะ" จำพวกมันฝรั่งทอดจำนวน 1 ห่อเล็ก หรือเท่ากับพิซซ่า 1 ชิ้นเล็ก รวมทั้งมีปริมาณโซเดียมสูงกว่าอาหารขยะอีกด้วย ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพเด็ก ที่สำคัญ "น้ำมัน" ทอดบะหมี่สำเร็จรูปมักเป็นน้ำมันพืชราคาถูก ซึ่งมีคุณสมบัติแตกตัวเป็น "กรดไขมันชนิดทรานส์" ที่เป็น 1 ในปัจจุบันกระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจ

ตามความเห็นของเอซีเอ ร่างกายจึงไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการกินบะหมี่สำเร็จรูป สิ่งที่ได้คืออาหารไร้โปรตีน เต็มไปด้วยไขมัน แป้งคาร์โบไฮเดรต สารเคมี ผงชูรส และโซเดียม ในปี 2548 คาดว่า คนไทยบริโภคบะหมี่สำเร็จรูปบรรจุซอง 60 กรัม มากมโหฬารถึง 2,000 ล้านซอง คิดเป็นเงิน 9,500 ล้านบาท ภัยเงียบสำคัญที่ซ่อนเร้นอยู่ในบะหมี่เหล่านี้ก็คือ "โซเดียม" ในซองเครื่องปรุงรส

ตามข้อแนะนำของบัญชีสารอาหารกำหนดว่า คนไทยควรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ขณะนี้คนไทยบริโภคล้ำหน้าตัวเลขดังกล่าวไปแล้ว โซเดียมในบะหมี่สำเร็จรูป โดยเฉพาะอย่างยิ่งบะหมี่สำเร็จรูปแบบซอง "บิ๊กแพ็ก" จะยิ่งไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และทำให้ไตทำงานหนัก

เว็บไซต์ข่าวการแพทย์ WebMD ของสหรัฐรายงานว่า สเตฟานี่ บรู๊กส์ นักโภชนาการในซานฟรานซิสโกเตือนว่า คนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ป่วยด้วยโรคหัวใจ กินยาขับปัสสาวะ และยารักษาอาการซึมเศร้าบางชนิดไม่ควรรับประทานบะหมี่สำเร็จรูปโดยเด็ดขาด เพราะมีโซเดียมกับผงชูรสสูง

เหตุที่ไม่ค่อยเกิดกรณีกินบะหมี่สำเร็จรูปมากๆ แล้วป่วย เป็นเพราะผู้บริโภคสินค้าชนิดนี้ส่วนใหญ่เป็นเด็ก วัยรุ่น คนหนุ่มสาว ซึ่งร่างกายยังแข็งแรง

ข้อสงสัยอีกประการเกี่ยวกับพิษภัยของบะหมี่สำเร็จรูปที่แพทย์เตือนไว้ก็คือ การที่บะหมี่สำเร็จรูปใส่สี ใส่สารทำให้กรอบ และผงชูรสในปริมาณมากๆ รวมทั้งถูกทอดในน้ำมันซึ่งผ่านการทอดซ้ำหลายๆ ครั้ง อาจจะทำให้เกิดการสะสมของ "คาร์บอน" ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งขึ้นมาในสินค้าประเภทนี้หรือไม่

ยิ่งไปกว่านั้น บะหมี่สำเร็จรูปยังใส่ "ผงชูรส" ซึ่งเป็นสารเพิ่มรสชาติมากเกินไป ในกรณีของผู้ที่แพ้ผงชูรสเมื่อรับประทานเข้าไป อาจเกิดอาการเหนื่อยอ่อน ปวดหัว หรือมีไข้ด้วยสภาพเศรษฐกิจบวกกับอุปนิสัยเคยชินกับการบริโภคบะหมี่สำเร็จรูปย่อมทำให้การละเลิกรับประทานสินค้าชนิดนี้เป็นไปได้ยาก แต่ถ้าคิดจะรับประทานก็ควรใช้วิธีต่อไปนี้เพื่อลด "โทษ" ที่ซุกซ่อนอยู่ในบะหมี่สำเร็จรูป

เช่น ควรต้มให้สุก อย่ากินเปล่าๆ โดยไม่เติมน้ำ เพราะบะหมี่จะเข้าไปพองในกระเพาะอาจทำให้เกิดอาการจุกแน่นได้นอกจากนี้ ควรใส่ไข่และผักลงไปด้วยทุกครั้งเพื่อเพิ่มโปรตีนกับวิตามิน รวมทั้งเมื่อต้มเสร็จแล้วให้เทน้ำซุปออกสักครึ่งหนึ่งเพื่อลดปริมาณสารเคมีไม่พึ่งประสงค์ในน้ำซุป

ที่ง่ายที่สุดคืออย่ากินเกินวันละ 1 ซอง และอย่าตามใจปาก ถ้าไม่หิวก็ไม่ควรฉีกซองบะหมี่สำเร็จรูปมากินเล่นๆ จนติดเป็นนิสัย ไม่เช่นนั้นสารพัดโรคจะมารุมเร้าเร็วกว่าที่คิด

ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด

 

Followers

Copyright © 2009 Blogger Template Designed by Bie Blogger Template Vector by DaPino