วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

ปาฏิหาริย์ของอาหารจากธรรมชาติ

อาหารสุขภาพ 

ทันทีที่เราได้ยินเกี่ยวกับการรับประทานอาหารจาก ธรรมชาติหรืออาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์หรืออาหารมังสวิรัติ เราคงมีความเห็นคล้ายคลึงกันว่า
      ?คงเป็นอาหารของนักบวช หรือของคนที่เคร่งศาสนา?
     ?คงเป็นอาหารของคนที่ไม่มีความรู้ในด้านโภชนาการ?
      ?คงเป็นอาหารที่ไม่สามารถให้สารอาหารครบถ้วน และเพียงพอแก่ร่างกาย?
ถ้าเราได้ทราบเรื่องราวจากประสบการณ์ตรงของบุคคลที่สำคัญ 2 คนต่อไปนี้ ความคิดเกี่ยวกับอาหารมังสวิรัติของเราอาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เรื่องแรกเป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่งของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ปราโมช บุคคลสำคัญที่คนไทยรู้จักกันดีที่ได้ใช้ระยะเวลาหนึ่งในคลีนิคธรรมชาติบำบัดที่มีชื่อเสียงของโลกในซูริค ประเทศสวิสเซอร์แลนด์และอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องที่โด่งดังไปทั่วโลกของ นายแพทย์แอนโทนีแซททิลาโร ผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมากระยะสุดท้าย และหายจากโรคนี้ด้วยการควบคุมอาหาร
เรามาลองฟังเรื่องราวของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ได้เขียนลงในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ คอลัมน์ข้างสังเวียน ที่เคยฮือฮาจนทำให้หลายคนอยากไปซูริคกันบ้าง ท่านได้เล่าถึงตัวท่านเองว่า
โรคของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช คือ โรคความขาดระเบียบ ก่อนออกจากเมืองไทย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มีน้ำตาลในเลือด 151 และการที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ไปซูริคก็เพื่อให้คนอื่นช่วยจัดระเบียบการกินอยู่หลับนอน ใช้หลักการคล้ายพุทธศาสนา
หมอที่รักษาชื่อ เคมเมอเรอร์ นับถือศาสนาพุทธนิกายหินยาน อาหารที่ให้ทานเป็น อาหารมังสวิรัติบริสุทธิ์ ไม่มีเนื้อสัตว์ หรืออะไรที่มาจากสัตว์เจือปนเลย ดูเหมือนการใช้ผักสดประกอบอาหารนี้ จะเป็นยาที่สำคัญที่สุดของสถานพยาบาลแห่งนี้
เมื่อตรวจแล้วแพทย์จะอธิบายสมมติฐานของโรคให้ผู้ป่วยฟัง พร้อมกับบอกวิธีรักษาให้ ซึ่งผู้ป่วยจะต้องร่วมมืออย่างใกล้ชิด
การรักษา มีทั้งทางกายและทางใจ
การรักษาทางกายนั้น ไม่ใช้หยูกยา อย่างที่ใช้กันอยู่ตามโรงพยาบาลทั่วไป ส่วนใหญ่รักษาด้วยอาหาร จะมีให้ยาประกอบก็เฉพาะในกรณีจำเป็นบางรายเท่านั้น
ผลไม้

อาหารที่ปราศจากพิษนั้นได้แก่ ผัก และผลไม้ พูดง่าย ๆว่าเป็นอาหารเจล้วน ๆ อาหารผักและผลไม้นี้ สังเกตดูว่าเขาใช้ของสดจริง ๆ ผลไม้นั้นซื้อจากข้างนอกแต่เขาเลือกอย่างสดดีทั้งนั้น ส่วนผักสถานพยาบาลมีสวนผักค่อนข้างใหญ่อยู่ข้างหลัง มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลและเก็บมาให้ผู้ป่วยกินได้วันต่อวันไม่ขาด จึงเป็นผักสดชนิดเก็บวันไหนกินวันนั้น อาหารหลักที่ทุกคนต้องกิน คือ? เมิสลี ทำด้วยข้าวโอ๊ดบดและแอปเปิ้ลที่ขูดให้เป็นเส้นเหมือนมะพร้าว นมเปรี้ยว และผลไม้ตามฤดูกาล
ข้าวโอ๊ดที่บดแล้วตากแห้งเหมือนกับข้าวสัตตูเอามาผสมกับนมเปรี้ยวจนข้นเหมือนข้าวต้มโอ๊ต แล้วผสมลูกแอปเปิ้ลขูดเมิสลีนี้กินวันละสามเวลาก่อนอาหาร? ความขลัง? อยู่ที่ตรงนี้อาหารนอกจากนั้นก็มี ซุปผัก ทั้งซุปข้น ซุบใส ก้านผักเปลือกผัก หรือสวนอื่น ๆ ของผักที่ไม่กินกันตามปกตินั้น เขาไม่ทิ้งเลยแต่เอาลงมาต้มรวมกันไว้ในหม้อใหญ่ เติมเกลือเล็กน้อยพอออกรสเค็มปะแล่ม ๆ
อาหารแต่ละมื้อ เริ่มจากผลไม้ตามด้วยผักดิบหลายชนิด ลงท้ายด้วยผักต้ม ผักนึ่ง ปรุงรสต่าง ๆ กัน นอกจากนั้นก็มีขนมปังทำจากแป้งสาลีไม่ขายเหมือนกับข้าวแดงของไทย ลูกนัดมันฮ่อ เกาลัด และเมล็ดผลไม้ประเภทต่าง ๆ เครื่องดื่มถ้าไม่ใช่น้ำต้มผักก็มีน้ำเปล่า อาหารทั้งหมดนี้คนป่วยแต่ละคนจะได้กินมากน้อยก็แล้วแต่อาการของโรคและตามแพทย์สั่งให้กิน
ทางสถานพยาบาลเขาบอกว่า อาหารและเครื่องดื่มที่กินและดื่มกันอยู่ทั่วไป เช่นเนื้อสัตว์ สุราเมรัยหรือแม้แต่น้ำชา กาแฟนั้นเป็นพิษแก่ร่างกาย และถ้าร่างกายเก็บพิษนั้นสะสมไว้มากเข้าก็จะเกิดโรค
การกินอาหารแบบนี้ เป็นการถ่ายพิษออกจากตัว
ความดันโลหิตที่เคยอยู่ในระดับ 170 หรือ 160 ข้างล่าง 80 บ้างถึง 1 00 ก็เคยมี มาอยู่ที่นี่ไม่กี่วัน ความดันโลหิตต่ำลงมา120-50 เหมือนเด็กเกิดใหม่ และอยู่ในระดับนี้ตลอดมา
หัวใจที่เคยเดินคร่อมจังหวะบ้างเป็นครั้งคราว เดี๋ยวนี้ก็เดินได้จังหวะเรียบร้อยไม่ผิดพลาด หนุ่มขึ้นสัก 10 ปีเห็นจะได้หยูกยาอะไรก็ไม่มี กินแต่อาหารที่เขากำหนดให้ ซึ่งได้แก่อาหารทิพย์ ?เมิสลี? และใช้ชีวิตอยู่ในกรอบที่เขากำหนดให้เท่านั้นเองพูดถึงยาหรืออาหารที่นี่ก็แปลก ให้กินเมล็ดถั่วเมล็ดงา และเมล็ดอื่นมากมาย เหมือนตัวนกคีรีบูน กินข้าวอย่างนกหลายวันเข้าก็เริ่มจะร้องเป็นนกคีรีบูน แต่ที่สำคัญก็คือ ยอมปล่อยตัวมาจนน้ำหนักตัวเกินที่ควรจะเป็นเมื่อคิดเทียบกับส่วนสูงไปประมาณ 10 กิโลเห็นจะได้เดี่ยวนี้ลดไปมากอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ร่างกายก็ได้รับผลดีจริง ๆจากการรักษาพยาบาลของเขา
ตรงนี้ก็แปลก
ผมได้เห็นสตรีคนหนึ่ง เป็นโรคหมดกำลังขา เดินไม่ได้เลยทีเดียว นอนเปลหามเข้าสถานพยาบาล
พอมาถึงก็ห้ามเข้าห้องหายไปหลายวัน
พอถึงวันที่หกก็เดินออกมานั่งรับประทานอาหารในห้องอาหาร และเดินเล่นในสวนได้ ในวันที่หกและวันที่เจ็ดนั้น ยังต้องถือไม้เท้าซึ่งก็นับว่าดีอยู่มากแล้ว
พอถึงวันที่แปดก็โยนไม้เท้าทิ้งเดินเหินกระฉับกระเฉงเป็นปกติทุกอย่าง ถ้าไม่เห็นด้วยตาเพียงแต่ใครมาบอกผมคงไม่เชื่อคุณลุงอีกคนหนึ่งอายุร่วมแปดสิบ เป็นโรคกระเพาะ กินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะปวดท้องทั้งวัน ผอมร่องแร่งโงหัวไม่ขึ้น เดินหัวตกโซเซ เห็นแล้วน่าสมเพชเวทนาเป็นที่สุด มาเข้าโรงพยาบาลพร้อมกับผม นั่งกินข้าวติด ๆ กัน พอจะเห็นได้ว่า เขาให้แกกินอะไรก็เมิสลีอย่างที่ผมกินนั่นแหละ
คุณลุงแกจะไม่กิน พวกพยาบาลเขาก็เคี่ยวเข็ญปลอบบ้างขู่บ้างให้แกกินให้หมดทุกมื้อ อยู่มาได้สองอาทิตย์ เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
เรื่องอาหารเป็นหัวใจของคลีนิคนี้ อาหารคือยา ยาคืออาหาร ถ้ามนุษย์กินอาหารถูกต้องกับสัดส่วนตามธรรมชาติที่ร่างกายต้องการก็จะไม่เป็นโรค หมอเบอร์เคอร์เบนเนอร์ เป็นผู้ค้นพบคุณสมบัติอันล้ำค่าของอาหารธรรมชาติ เขายืนยันว่าผลไม้และผักสดซึ่งเก็บมาใหม่ ๆ นั้นเป็นอาวุธอันมีอานุภาพที่จะต่อสู้กับโรคได้มากมายหลายชนิด เขาจึงคิดสูตรอาหารนี้ขึ้นเพื่อให้คนไข้รับประทานการรักษาโดยตรงของที่นี่ก็คือ อาหาร การหายใจ การออกกำลังกายการพักผ่อน-หลับนอน อากาศ น้ำ และแสงแดด เหล่านี้ ประกอบกันจะทำให้สุขภาพดี
การกินอาหารเขากำหนดให้วันละ 3 ครั้ง เขาแนะนำให้กินอาหารตรงเวลา อาหารก็มีพวกผัก ผลไม้สด ข้อสำคัญต้องอดทนพยายามกินต่อไปจะชอบเอง ไม่ต้องรีบทาน ขอให้เคี้ยวให้ละเอียดตลอดเวลาที่อยู่ที่คลีนิคนี้ผมไม่ได้พบ น้ำชา กาแฟ หรือเนื้อสัตว์เลย
หมอเบอร์เนอร์ รู้คุณค่าอันแท้จริงของผลไม้ และผักดิบก่อนที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบวิตามินเสียอีก แต่คนทั่วไปคิดว่า โปรตีนที่ได้มาจากสัตว์ให้คุณค่าทางอาหารมากกว่า แต่ความจริงแล้ว โปรตีนที่มาจากผักดิบกลับดีกว่า อารยธรรมสมัยใหม่ทำให้คนได้รับความยุ่งยากในการบริโภคอาหาร จึงเกิดความคิดใหม่ว่าเราควรเลิกกินของหวาน ดื่มเหล้า กาแฟ แม้แต่เนื้อสัตว์ ก็ไม่ควรกิน และไม่มีปัญหาว่า จะทำให้ลดกำลังของร่างกาย คนแบกถ่านหินซึ่งต้องทำงานวันละ 9ชั่วโมง แจ้งว่า เขาทำงานได้สบาย เบาตัวขึ้นหลังจากมากินอาหารของหมอเบอร์เนอร์ สุขภาพอนามัยและโรคภัยไข้เจ็บมีความเกี่ยวพันกับเรื่องหลายเรื่อง เช่น อากาศ ความสะอาด การออกกำลังกาย การขับถ่าย กินพืชผักสีเขียวให้ได้ทุกวัน เพราะสีเขียวนั้นก็คือคลอโรฟีล ซึ่งเป็นสารที่ช่วยสร้างโลหิตแดง ช่วยให้ร่างกายใช้โปรตีน ควบคุมความดันโลหิต ลดน้ำตาล ช่วยรักษาแผลให้หายเร็ว ทฤษฎีนี้ถือหลักว่า จะไม่เอาเนื้อสัตว์มาปรุงอาหาร เพราะไม่ใช่อาหารธรรมชาติของมนุษย์ และในช่วงเวลาระหว่างอาหาร จะต้องไม่มีอาหารอื่นเข้ามาแทรก คนที่เกลียดผลไม้พึงรู้ตัวว่า ร่างกายต้องการผลไม้ อาหารดิบเป็นอาหารนำ ต้องกินอาหารดิบก่อนอาหารทุกมื้อ...
อีกเรื่องเป็นเรื่องที่โด่งดังทั่วโลกของนายแพทย์ แอนโทนีแซททิลาโร ผู้หายจากโรคมะเร็งของต่อมลูกหมากขั้นสุดท้ายด้วยการควบคุมอาหาร ที่ได้รับการตีพิมพ์ใน Life Magazine.... นายแพทย์แอนโทนี แซททิลาโร เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมโทดิสต์ เมืองฟีลาเดลเฟีย ประเทศสหรัฐอมเริกา ซึ่งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งที่ต่อมลูกหมากระยะสุดท้าย เมื่อเดือนมิถุนายน 2521 และปรากฏว่ามะเร็งได้แพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น กระโหลกศีรษะไหล่ กระดูกสันหลัง กระดูกก้นกบ และกระดูกซี่โครง ในขณะที่นายแพทย์ผู้นี้มีอายุเพียง 47 ปี และหมอผู้รักษาได้พยากรณ์ว่าเขาอาจจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 2-3 ปีเท่านั้น หลังการวินิจฉัย แพทย์ได้ผ่าตัดเอาลูกอัณฑะออกและรักษาด้วยวิธีการแพทย์สมัยใหม่ โดยฉีดฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโตรเจน) เพื่อระงับการแพร่กระจายของโรคอย่างไรก็ตาม ใช้เวลาไม่นานนักผลก็ปรากฏว่า วิธีการรักษาดังกล่าวไม่อาจหยุดยั้งการลุกลามของมะเร็งได้ ทำให้นายแพทย์ผู้นี้สิ้นหวังในการรักษาแบบปัจจุบัน และแสวงหาวิธีอื่นในการรักษาโรค สิ่งที่เลวร้ายสำหรับนายแพทย์ผู้นี้ก็คือ การที่มะเร็งลุกลามไปที่กระดูกสันหลัง ทำให้มีอาการปวดหลังอย่างรุนแรงตลอดเวลา ต่อมาในเดือนสิงหาคม2521 นายแพทย์แซททิลาโรได้รับคำแนะนำให้รักษาด้วยการควบคุมอาหาร ภายใต้ทฤษฎีที่ว่า? มะเร็งเป็นสภาวะไม่สมดุลอย่างยิ่งในร่างกาย เกิดจากสาเหตุใหญ่คือ การรับประทานอาหารไม่ถูกหลัก? เขาได้ปฏิบัติตัวและทานอาหารแบบแมคโครไบโอติกส์อย่างเคร่งครัด (อาหารที่เคยกิน และชอบกินถูกตัดออกหมด มีเนื้อสัตว์ นมไข่ ข้าวที่ขัดสีจนขาว รวมทั้งขนมปังขาวทุกชนิด อาหารที่มีสารเคมีอาหารกระป๋อง น้ำดื่มพวกแอลกอฮอล์ ฯลฯ เปลี่ยนมาเป็นอาหารเมล็ดพืชแท้ 50 ถึง60 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะข้าวซ้อมมือ พืชผัก 25เปอร์เซ็นต์ ถั่วและพืชทะเล 1 5 เปอร์เซ็นต์) นายแพทย์ แซททิลาโรได้เขียนความรู้สึกของเขาไว้ว่า ?ตัวเองไม่มีจุดหมาย หมดหวัง และทรมาน แต่ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่น น่าจะลองรักษาดูด้วยวิธีธรรมชาติดีกว่ารอความตายอย่างทรมาน?
นายแพทย์แซททิลาโรได้มีโอกาสพบและศึกษาวิธีการปฏิบัติตัวตามหลักแมคโครไบโอติกส์จากมิชิโอะ คึชิ (MichiO Kushi) ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์แผนโบราณของตะวันออก หลังจากได้พบและรับคำ ศึกษาจากปรมาจารย์ทางแมคโครไบโอติกส์ชาวญี่ปุ่นผู้นี้แล้ว นายแพทย์ แซททิลาโร ก็เกิดความมั่นใจยิ่งขึ้นว่า การรักษาโรคมะเร็งของเขาด้วยวิธีแมคโครไบโอติกส์นั้น น่าจะเป็นวิธีดีที่สุดในการรักษาโรคร้าย เขาได้ศึกษาหาความรู้ทางปรัชญาของแพทย์ตะวันออกรวมทั้งปฏิบัติตนตามแนวทางแมคโครไบโอติกส์อย่างเคร่งครัด หลังจากนั้นเพียง 5 เดือน อาการปวดหลังของเขาก็ค่อย ๆ ดีขึ้นและหายไปในที่สุดร่างกายก็มีความกระฉับกระเฉงและจิตใจผ่องใสมาก(นายแพทย์แซททิลาโรยังได้เล่าต่อไปอีกด้วยว่า ผมกลับรู้สึกดีขึ้นกว่าหลายปที่ผ่านมาเป็นเวลากว่า 20 ปีที่ผมเป็นโรคลำไส้เรื้อรัง ใช้ยาหลายชนิดแต่ก็ไร้ผลหลายสัปดาห์มานี้หลังจากผมเริ่มควบคุมอาหารโรคเหล่านี้ก็หายไป)เมื่อได้รับการตรวจจากแพทย์ผู้รักษาก็ได้พบว่า โรคมะเร็งได้หยุดลุกลาม แต่ก็ยังปรากฏร่องรอยของโรคมะเร็งในกระดูกต่าง ๆ
ในวันที่ 27 กันยายน 2522 แซททิลาโร ได้รับการเอ็กซเรย์กระดูกปรากฏว่า ไม่พบร่องรอยมะเร็งในกระดูกชิ้นใด ๆ เลยทั้ง ๆ ที่เคยมีมะเร็งปรากฏอยู่ในอดีต และนายแพทย์แซททิลาโรได้หายจากโรคมะเร็งอย่างสมบูรณ์ที่สุด
ในตอนสุดท้ายของเรื่องราว นายแพทย์แซททิลาโรได้เขียนว่า ทุกวันนี้ผมมีสุขภาพสมบูรณ์ที่สุดที่เคยเป็นมาในรอบ 30 ปี ผมยังทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมโทดิสต์ ผมยังควบคุมอาหารต่อไป และเรื่องที่ผมออกไปบรรยายข้างนอกบ่อยที่สุดคือ ?การควบคุมอาหารสามารถต้านทานมะเร็งได้?
เรื่องที่ยกมาเป็นเพียงประสบการณ์ตรงของบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังเพียง 2 ประสบการณ์ จากอีกร้อย ๆ พัน ๆ ประสบการณ์ของผู้ที่ได้พบกับชีวิตใหม่หลังจากการเปลี่ยนแปลงการบริโภคอาหารเราคงจะเริ่มเห็นความมหัศจรรย์ของอาหารจากธรรมชาติในการดูแลความแข็งแรงของร่างกาย และรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่ร้ายแรงต่าง ๆ ของคนเราบ้างแล้วใช่ไหมครับ ?

ที่มา : ข้อมูลจากเวปไซต์ไมด์ไซเบอร์

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

 

Followers

Copyright © 2009 Blogger Template Designed by Bie Blogger Template Vector by DaPino